รีเซต

จับสัญญาณ หนี้ครัวเรือนไทย "หดตัวครั้งแรก"

จับสัญญาณ หนี้ครัวเรือนไทย "หดตัวครั้งแรก"
TNN ช่อง16
21 กรกฎาคม 2568 ( 10:23 )
21

ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยล่าสุด ณ ไตรมาสแรก ของปี 2568 อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีร้อยละ 87.4  ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5  

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC  ระบุว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับลดลงนั้น เป็นการลดลงต่อเนื่องตามวัฏจักร "Deleveraging" หรือ กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ต่อรายได้  ซึ่งเป็นผลจากยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนขยายตัวต่ำในช่วงที่ผ่านมา

โดยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 1 ของปี 2568  อยู่ที่ 1.63 ล้านล้านบาท  ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มียอดคงค้าง 16,370,438 ล้านบาท  หรือหดตัวร้อยละ  0.1 (YOY) นับเป็นการ “หดตัวครั้งแรก” ตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนในปี 2555  หลังจากชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในหลายไตรมาสก่อนหน้า

SCB EIC  ระบุว่าหากพิจารณาการหดตัวของสินเชื่อครัวเรือนตามประเภทของสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อพบว่า การหดตัวเกิดขึ้นในสินเชื่อที่ปล่อยโดยสถาบันการเงินเอกชนเป็นหลัก ตามความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ภาคครัวเรือนทั้งหมด 

โดยสินเชื่อครัวเรือนในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่หดตัวรุนแรงมากที่สุดคือ  "สินเชื่อเพื่อรถยนต์และจักรยานยนต์" ซึ่งหดตัวถึงร้อยละ 10 YOY ตามสภาวะตลาดยานยนต์ที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่สินเชื่อครัวเรือนประเภทอื่น ๆ ชะลอลงทั้งหมด 

และการหดตัวเกิดขึ้นในสินเชื่อที่ปล่อยโดยสถาบันการเงินเอกชนเป็นหลัก ตามความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ภาคครัวเรือนทั้งหมด 

โดยยอดคงค้างสินเชื่อครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์หดตัวถึงร้อยละ 3.0 YOY  ซึ่งหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5  ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อครัวเรือนของบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล หดตัวร้อยละ 1.2 YOY หดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2  สำหรับสถาบันการเงินของรัฐ และสหกรณ์ เป็นแหล่งปล่อยสินเชื่อหลักที่ยังคงเติบโต ส่งผลช่วยให้ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนในภาพรวมไม่หดตัวมากนัก  


SCB EIC คาดการณ์ว่าครัวเรือนไทยจะยังอยู่ในช่วง Deleveraging หรือการลดสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ ในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้า ภายหลังภาระหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้นมากจากผลกระทบ COVID-19  อย่างไรก็ดี กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP (Household Debt Deleveraging) ในรอบวัฏจักรนี้อาจไม่ได้สะท้อนสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจไทย เช่นในอดีต 

เพราะ Deleveraing ในรอบนี้กำลังแสดง “อาการความเปราะบาง” ของเศรษฐกิจไทยหลัง COVID-19 ที่ยัง มีแผลเป็นเศรษฐกิจเหลืออยู่และยังไม่ได้รับการแก้ไขหากพิจารณาการลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่เห็นในเชิงองค์ประกอบ พบว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงจาก “ยอดหนี้คงค้างที่ขยายตัวต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ”  โดยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนขยายตัวต่ำมานานกว่า 5 ไตรมาสแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจยังเติบโตอยู่ แม้จะโตต่ำและฟื้นตัวได้ช้า 

โดยหากเปรียบเทียบกับวัฏจักร Deleveraging รอบก่อน (ช่วงปี 2559  – ก่อน COVID-19) เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.5 YOY แต่วัฏจักร Deleveraging รอบปัจจุบันนับตั้งแต่วิกฤต COVID-19 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยกลับเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.3 YOY ซึ่งยัง "ไม่เพียงพอ" ที่จะทำให้รายได้ครัวเรือนฟื้นกลับมาในระดับที่สามารถลดภาระหนี้ได้อย่างยั่งยืน 

การลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในรอบนี้ จึงเป็นผลจาก “การก่อหนี้ชะลอตัว” มากกว่า “รายได้ฟื้นตัว หรือ เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัว” 

ในระยะต่อไป SCB EIC ประเมินว่าสถาบันการเงินจะยังคงมีแนวโน้มระมัดระวังการให้สินเชื่อ โดยคุณภาพสินเชื่อที่ปรับด้อยลง ต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้หนี้ครัวเรือนขยายตัวต่ำ สัดส่วนสินเชื่อ Stage 3  หรือ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4  ในไตรมาสแรกของปี 2568

หากพิจารณาในรายละเอียด พบว่าสินเชื่อที่มีความเสี่ยงระดับ Stage 3 (NPL) ปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบัตรเครดิตซึ่งมีสัดส่วน NPL สูงกว่าอยู่ที่ร้อยละ 4.1  และร้อยละ 4.2 ตามลำดับ  และหากคิดรวมกับสัดส่วนสินเชื่อที่มีความเสี่ยงระดับ Stage 2 แล้วสัดส่วนดังกล่าวจะสูงถึงร้อยละ 10.26 และร้อยละ 8.45 ตามลำดับ

เพราะฉะนั้น หากพิจารณาคุณภาพสินเชื่อครัวเรือนพบว่า สถาบันการเงินมีแนวโน้มจะยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ สถาบันการเงินเอกชน ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามความเปราะบางของครัวเรือน 

โดยนอกจากภาคครัวเรือนไทยจะมีแผลเป็นจากวิกฤติ COVID-19 อยู่แล้ว ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทย ทั้งปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยเสี่ยงภายใน ทั้งจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเปราะบางของภาคธุรกิจที่ต้องแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้า

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาทุกภาคส่วนได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลายมาตรการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้ โดยเฉพาะมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส 2” ล่าสุด ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า โครงการได้ขยายขอบเขตเงื่อนไข และระยะเวลาเข้าร่วม ตลอดจนขยายเกณฑ์ให้ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่มอื่นมากขึ้น 

SCB EIC มองว่าโครงการใหม่นี้อาจช่วยแก้ปัญหาหนี้ ครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะสั้น ผ่านแรงจูงใจในการลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน แต่ความสามารถ ในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในระยะต่อไปยังขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนเป็นหลัก โดยเฉพาะมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ที่มีการปรับเพิ่มยอดชำระหนี้รายเดือนแบบเป็นขั้นบันไดในแต่ละปีที่ลูกหนี้เข้าร่วมโครงการ9

สำหรับความคืบหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”  ล่าสุด ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2568  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า มีผู้ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 1.5 ล้านราย ครอบคลุม 2.0 ล้านบัญชี และจากการสำรวจข้อมูลผลการคัดกรองคุณสมบัติจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 พบว่ามีลูกหนี้ที่ลงทะเบียนข้างต้นที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายร่วมโครงการได้จำนวน 6.5 แสนราย (คิดเป็นร้อยละ 34 ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 1.9 ล้านราย) เป็นยอดหนี้ 4.8 แสนล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 54 ของยอดหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท)

สำหรับการดำเนินโครงการระยะที่ 2 ที่เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1  กรกฎาคม 2568  ข้อมูลค่าสุดตั้งแต่วันที 1  - 15 กรกฎาคม 2568 มีลูกหนี้มาลงเบียนเข้าร่วมโครงการทั้งระยะที่ 1 และ 2 แล้ว 7.3 หมื่นราย 1.3 แสนบัญชี   

ดังนั้น กระบวนการลดหนี้ที่จะเป็นประโยชน์แท้จริงต่อภาคครัวเรือนโดยรวม จะต้องเป็นกระบวนการลดหนี้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งอาจพิจารณาผ่าน 2 แนวทาง คือ กระบวนการแก้หนี้เดิม จะต้องออกแบบให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ ครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้ต่างกัน และกลไกนโยบายเศรษฐกิจมหภาค จะต้องช่วยประคองเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนให้ รายได้ครัวเรือนฟื้นตัวได้มากพอที่จะนำไปชำระหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้หลุดจากปัญหาหนี้เรื้อรังได้อย่างยั่งยืน 

โดยในระยะต่อไปแนวทางในการป้องกันการก่อหนี้ที่ไม่ยั่งยืนอาจทำได้ผ่านนโยบาย Macroprudential  ที่เหมาะสม เช่น การกำหนดเกณฑ์สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในภาวะที่ดอกเบี้ยลดต่ำลงมาเป็นระยะเวลายาวนาน (Low for Long)

ในภาพรวม SCB EIC ประเมินว่ากระบวนการลดหนี้ครัวเรือนของไทยจะยังดำเนินต่อไปจากยอดคงค้างสินเชื่อครัวเรือนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่ำลงต่อเนื่องจากปัจจัยสงครามการค้า แผลเป็นเศรษฐกิจในภาคครัวเรือนและ SMEs ที่มีอยู่เดิม และข้อจำกัดด้านนโยบายการคลัง โดยมีโอกาสเข้าสู่ "Technical recession"  โดยคาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ณ สิ้นปี 2568 จะลดลงต่อเนื่องไปอยู่ที่ช่วงร้อยละ 85.5- 86.5 

อย่างไรก็ดี กระบวนการลดหนี้ (Deleveraging) ในลักษณะนี้อาจไม่ได้ช่วยให้ครัวเรือนปลดล็อกจากปัญหาหนี้สินได้ดีมากนัก เนื่องจากรายได้ครัวเรือนจะฟื้นตัวช้า 

นอกจากนั้น การเข้าถึงสินเชื่อของครัวเรือนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหามากขึ้น ตามความระมัดระวังในการ ให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และมีแนวโน้มกดดันการบริโภคภาคเอกชนไทยในระยะต่อไป ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้ เศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลัง COVID-19


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง