รีเซต

"KKP" กำไรโต 8.6% หลัง NPL ลด กดตั้งสำรองลง มองปัจจัยลบกดเศรษฐกิจไทยโต่แค่ 1.6%

"KKP" กำไรโต 8.6% หลัง NPL ลด กดตั้งสำรองลง มองปัจจัยลบกดเศรษฐกิจไทยโต่แค่ 1.6%
TNN ช่อง16
21 กรกฎาคม 2568 ( 15:08 )
14

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP รายงานผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2/2568 ธนาคารเกียรตินาคินภัทร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 1,409 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 83.3 หากเทียบกับไตรมาส 2/2567 โดยหลักมาจากการบริหารคุณภาพสินเชื่อที่ธนาคารได้มุ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และผลขาดทุนจากการขายรถยึดปรับตัวลดลง

รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิในระดับที่ดี โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 จากไตรมาส 2/2567 ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเป็นหลัก ทางด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงร้อยละ 13.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังคงเป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อ ภายใต้มาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่เน้นการปล่อยสินเชื่อไปในประเภทที่มีคุณภาพสูง รวมถึงการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย

ทางด้านคุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.3 สำหรับไตรมาส 2/2568 หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ผลขาดทุนจากการขายรถยึดปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ธนาคารยังคงดำเนินการอย่างระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสม โดยมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับไตรมาส 2/2568 เป็นจำนวน 973 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ร้อยละ 132.7

สำหรับงวดครึ่งแรกปี 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 2,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยหลักจากการลดลงของผลขาดทุนจากการขายรถยึด และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งรวมแล้วปรับลดลงอยู่ในระดับที่ดีกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคาร

ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิที่ยังคงทำได้ในระดับที่ดี โดยปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 โดยหลักจากรายได้ในส่วนของธุรกิจตลาดทุน แม้ว่ารายได้ ดอกเบี้ยสุทธิจะปรับลดลงร้อยละ 14.6  ตามการชะลอตัวของสินเชื่อ และการปรับลดของอัตราดอกเบี้ย

สำหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายเพิ่มเติม และมีความเสี่ยงโตได้ต่ำที่ร้อยละ 1.6 จากหลายปัจจัยด้านลบ คือทิศทางนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวสำหรับปี 2568 จะหดตัวจากปีก่อนมาอยู่ที่ 33.6 ล้านคน

ความไม่แน่นอนทางด้านภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐฯ กับประเทศไทยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก และภาคการผลิตไทยรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และต้องติดตามผลการเจรจาระหว่างผู้แทนการค้าไทย และสหรัฐฯ เพิ่มเติม 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง