รีเซต

แก๊งปาหิน: วงจรอาชญากรรมที่ไร้เหตุผล?

แก๊งปาหิน: วงจรอาชญากรรมที่ไร้เหตุผล?
TNN ช่อง16
3 พฤษภาคม 2568 ( 11:01 )
23

เมื่อก้อนหินไม่ใช่แค่อาวุธ แต่เป็นสัญญาณเตือนของสังคม

เหตุการณ์ชายวัย 45 ปี ปาก้อนปูนใส่รถประชาชนบนถนนบางนา-ตราด กลางวันแสก ๆ โดยอ้างว่าดื่มเหล้าขาวหนึ่งขวดจนขาดสติ ไม่ได้แค่สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินและจิตใจผู้ขับขี่ แต่ยังปลุกความกังวลสาธารณะเรื่อง “แก๊งปาหิน” ซึ่งแม้ดูเหมือนเป็นอาชญากรรมเฉพาะตัว ทว่าเมื่อย้อนดูข้อมูลและสถิติแล้ว เหตุลักษณะนี้ได้กลายเป็นภัยที่วนซ้ำในโครงสร้างสังคมไทยมาเกือบ 20 ปี


หากพฤติกรรมนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งที่มีข่าวเตือน มีบทลงโทษชัดเจน มีประวัติผู้ต้องหาซ้ำซ้อน — คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “ทำไมเขาทำ” แต่ต้องถามต่อว่า “เราพลาดอะไรในการป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก?”

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยของอาชญากรรมจากกลุ่มชายขอบ

ข้อมูลจากเหตุการณ์ในอดีตชี้ว่า พฤติกรรมปาหินไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด ย้อนไปตั้งแต่ปี 2547 ก็มีคดีปาหินใส่รถตู้จนมีผู้เสียชีวิต จากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดเป็นระลอกในปี 2552–2553 โดยมีทั้งศิลปินชื่อดัง, รถบรรทุก, และประชาชนทั่วไปเป็นเหยื่อ

ปี 2562 มีการจับกุมแก๊งปาหินที่สมาชิกอายุเพียง 12 ปี โดยให้การว่า “ทำไปเพราะสนุก” และล่าสุด เหตุการณ์บนถนนบางนา-ตราดในปี 2568 ก็เกิดขึ้นจากชายที่ไม่มีบ้าน ไม่มีงาน ไม่มีใครพูดด้วย และ “ไม่มีทีวีดูข่าว” — ถ้อยคำที่สะท้อนว่า คนก่อเหตุอาจอยู่ในสังคม แต่กลับไม่เคยถูกนับรวมในระบบใดเลย


พฤติกรรมเลียนแบบ: เมื่อข่าวกลายเป็นเชื้อไฟ

จากข้อมูลเชิงคุณภาพของการศึกษาพฤติกรรมแก๊งปาหิน พบว่าผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่มักรับรู้ข่าวจากสื่อก่อนลงมือ หลายคนเลียนแบบพฤติกรรมที่เห็นเพราะอยาก “เด่น” หรือเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่น บางรายถึงขั้นท้าทายกันว่า “กล้าปาไหม?” หากกล้า จะกลายเป็นฮีโร่ในสายตาเพื่อน

กรมสุขภาพจิตยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลุ่มที่กระทำผิดประเภทนี้มักไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบทางกฎหมาย บางคนมีแรงจูงใจทางจิตใจ เช่น ความโกรธ ความอัดอั้น หรือแม้แต่ความรู้สึก “อยากเห็นคนอื่นทุกข์” โดยไม่จำเป็นต้องมีโรคทางจิตเวช แต่ขาดความยั้งคิดและการควบคุมอารมณ์ขั้นพื้นฐาน

จากพฤติกรรมคึกคะนองสู่ความผิดทางอาญา โทษจำคุกไม่ใช่จุดจบ

ตำรวจมีแนวโน้มตั้งข้อหาผู้ต้องหาคดีปาหินในหลายกรณีเป็น “พยายามฆ่า” ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดหลายปี แต่บทลงโทษเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้พฤติกรรมนี้หมดไปได้ หากไม่มีระบบติดตามหลังการพ้นโทษ ระบบฟื้นฟู หรือเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงอย่างจริงจัง

กรณีล่าสุด ผู้ต้องหาถูกจับครั้งที่ 13 ในชีวิต คดีเดิมล้วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ลักทรัพย์ และไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร — สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของกระบวนการฟื้นฟู และการปล่อยให้ช่องว่างในระบบรัฐขยายตัวจนความรุนแรงกลายเป็นช่องทางเดียวที่ “เขายังถูกมองเห็น”

พื้นที่สาธารณะไม่ปลอดภัย หรือสังคมยังขาดความรับผิดชอบร่วมกัน?

แม้จะมีโครงการร่วมกับประชาชน เช่น “บิ๊กไบค์เตือนภัย” หรือรางวัลนำจับ แต่แก๊งปาหินยังคงปรากฏตัวบนสะพานลอย ทางด่วน และถนนสายเปลี่ยวในเวลากลางคืน โดยไม่มีระบบตรวจตราแบบเรียลไทม์ หรือการติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างเพียงพอ

คำถามคือ: เพราะอะไรการจัดการ “ความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ” จึงยังตกอยู่ภายใต้ความบังเอิญของการ “จับได้ทัน” แทนที่จะเป็นระบบที่ “ป้องกันได้ก่อน”?

ก้อนหิน ที่สังคมขว้างกลับไม่ได้

อาชญากรรมที่ดูไร้เหตุผลบางครั้งอาจสะท้อนความไร้โอกาสในสังคมมากกว่า “ความชั่ว” ของปัจเจก เมื่อผู้ก่อเหตุไม่ได้ต้องการเงิน ไม่ได้หวังผลทางการเมือง และไม่ได้มุ่งทำลายใครเป็นการเฉพาะ แต่อยาก “ปา” อะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นภายใน

คำถามคือ เราในฐานะสังคมกำลังทำอะไรกับปัญหาเช่นนี้ — จับให้ติดคุก แล้วปล่อยให้เขากลับมาปาใหม่? หรือเราจะเริ่มสร้างระบบที่รับมือกับต้นตอพฤติกรรมนี้จริง ๆ ก่อนที่ก้อนหินจะกลายเป็นความสูญเสียที่สายเกินแก้?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง