KTAMพร้อมเปย์ปันผลกว่า200ล. ชู6กองทุนสร้างรายได้ผู้ถือหน่วย
#KTAM #ทันหุ้น KTAM จ่ายปันผล 6กองทุนรวด ทั้งกองทุนหุ้น – กองทุนผสม รวมกว่า 200ล้านบาท พร้อมมองภาพลงทุนปลายปี หุ้นไทยเงินกองทุนภาษีเตรียมเข้าต่อ ส่วนหุ้นต่างประเทศ ยังมีแรงหนุนจาก ดอกเบี้ยปรับลง รวมถึงตราสารหนี้ เลือกที่ ดูเรชั่น หรือ อายุตราสารที่ยาวจะมีความน่าสนใจ
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัท ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจำนวนกว่า 200 ล้านบาท สำหรับ 6 กองทุน โดยจะจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในวันที่ 13 ธ.ค., 18 ธ.ค และวันที่ 27 ธ.ค.2567นี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส (TOF) (ระดับความเสี่ยง 5) โดยกองทุนมีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหลักทรัพย์ที่จะนำเข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO) และที่มีแผนจะนำเข้าจดทะเบียน (Pre IPO) รวมถึงหลักทรัพย์ที่เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต
*ปันผลรวมกว่า 30บ.ต่อหน่วย
โดยกองทุน TOF ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2567สิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 2567ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในวันที่ 13 ธ.ค. 2567 นี้ นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 33รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 30.20บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ ได้กำหนดจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในวันที่ 18 ธ.ค. 2567 จำนวน 4 กองทุนพร้อมกัน ประกอบด้วย 2กองทุน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 ก.ย. – 31 ส.ค. 2567สิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 2567ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (KT-HiDiv-D) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และ/หรือมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยกองทุนจ่ายปันผลในอัตรา 0.35บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 12รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 3.65บาทต่อหน่วย
*กระจายลงทุนผ่านกองทุนผสม
และกองทุนเปิดกรุงไทย ออพเพอร์ทูนิตี้ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (KT-OPP-D) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นกระจายลงทุนในหุ้น ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารแห่งหนี้ ตราสารการเงิน เงินฝาก โดยจะปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0ถึงร้อยละ 100 ของ NAV โดยกองทุนจ่ายปันผลในอัตรา 0.90 บาทต่อหน่วย นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 9รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 6.45บาทต่อหน่วย
กองทุนเปิดกรุงไทย ซีเล็คทีฟ อิควิตี้ ฟันด์ (KTSE) (ระดับความเสี่ยง 6) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 ม.ค. – 31 ธค. 2567สิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 2567โดยกองทุนจ่ายปันผลในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 22 รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 15.65บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี รวมทั้งลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก โดยบริษัทจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30หลักทรัพย์ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV
และ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้น ซีแอลเอ็มวีที (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (KT-CLMVT-D) (ระดับความเสี่ยง 6) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 1 ก.พ. – 31 ม.ค. 2568สิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 2567กำหนดจ่ายในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 10รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 4.80บาทต่อหน่วย
โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามและไทย (CLMVT) รวมทั้งหุ้นในประเทศอื่นใดที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้อง และ/หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ทั้งนี้ การจัดสรรน้ำหนักการลงทุนในแต่ละประเทศในกลุ่ม CLMVT จะเป็นไปตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมกับสภาวะตลาดการลงทุนในขณะนั้น ๆ หรือการคาดการณ์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในอนาคต
*คัดหุ้นพื้นฐานดี
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมจ่ายปันผลในวันที่ 27 ธ.ค.2567ของ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) (ระดับความเสี่ยง 6) สำหรับรอบบัญชีวันที่ 1 ก.ค. 2567 – 30 มิ.ย. 2568สิ้นสุดวันที่ 30 พ.ย. 2567โดยกองทุนจ่ายปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 55รวมจำนวนที่จ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 25.19บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่ดี โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV
“ภาพรวมตลาดการลงทุนยังมีแนวโน้มปรับตัวได้ต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก อาทิ กระแสนโยบายของทรัมป์ รวมถึงแนวทางการลดดอกเบี้ยของเฟด (Fed) พร้อมท่าที Hawkish แต่ด้วยยิลด์ (Yield) ในระดับนี้กับแนวโน้มที่ Fed ยังจะลดดอกเบี้ยในอนาคต ทำให้ตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงมีความน่าสนใจขึ้น ทั้งนี้ อาจต้องรอดูความชัดเจนทางด้านนโยบายอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังคงคาดว่าจะมีการประกาศนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มเติมในช่วงปลายปี รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนลดหย่อนภาษีที่เข้ามาในช่วงนี้ด้วย” นางชวินดา กล่าว