55% Magic Number "ภาษีสหรัฐ-จีน" บวกดีลแลก "แร่หายาก-ชิปประมวลผล" ใครได้ใครเสีย

55% คือตัวเลขที่สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ในการเจรจา และได้ข้อสรุปเบื้องต้น ตัวเลขนี้จะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศได้จริงหรือไม่ และสหรัฐฯจะสามารถแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ามหาศาลกับจีนได้จริงหรือไม่
ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ดุเดือด ยืดเยื้อมานานนับเดือน ในที่สุดจากการเจรจาโดยผู้แทนการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ก็ได้ข้อสรุปในเบื้องต้น ในการเจรจาการค้าวันที่ 2 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่ 55% และจีนเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 10% พร้อมด้วยการบรรลุข้อตกลงที่จีนยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก ขณะที่สหรัฐจะผ่อนคลายการควบคุมการขายเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับจีน
ซึ่งต้องบอกก่อนว่าตัวเลขนี้ เป็นเพียงข้อสรุประหว่างทั้ง 2 ประเทศในเบื้องต้น ยังคงต้องรอการลงนามอนุมัติของทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน แต่อย่างน้อยตัวเลขที่ออกมานี้ก็มาจากการเจรจาของผู้แทนการค้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ใช่การ "ขึ้นภาษีฝ่ายเดียว" เหมือนที่ผ่านมา ก็น่าจะมีกรอบของการเจรจาที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ทำการบ้านมาแล้ว และสามารถกำหนดเพดานในการเจรจาระหว่างกันได้ ที่เหลือคงรอแค่ลายเซ็นเท่านั้น
เรามาดูกันที่ประเด็นแรกกันก่อน ตัวเลข 55% นั้นมีความหมายอย่างไรกับสหรัฐฯ ถ้ามองกันแบบง่าย ๆ อาจจะเห็นได้ว่าดีลนี้สหรัฐฯ "กินเต็ม" เพราะถ้าเราไม่นับอัตราภาษีที่เป็นการตอบโต้กันไปมาในหลักที่มากกว่า 100% ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง และมีการระงับตัวเลขภาษีนั้นไปก่อนหน้าแล้ว แต่ตัวเลขใหม่ที่ได้ออกมาที่ 55% นั้น ก็สูงกว่าที่สหรัฐฯเคยดีดเครื่องคิดเลข และคำนวนออกมาประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาที่ 34% พูดง่าย ๆ ว่าเจรจาสำเร็จ ได้ตัวเลขภาษีเพิ่มขึ้นมาอีกราว 60%
แน่นอนว่าตัวเลขนี้ในมุมมองของสหรัฐฯพอใจอย่างแน่นอนเพราะจะสามารถเก็บภาษีเป็นรายได้เข้าสหรัฐฯได้มากขึ้น ซึ่งก็จะสามารถแก้ปัญหาในเรื่องของการลดการขาดดุลการค้าให้กับจีนที่สูงถึง 295,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ลดน้อยลงได้ และยังมีรายได้จากการเก็บภาษีจากจีนเพิ่มขึ้นอีกราว 242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อคำนวนจากมูลค่าการส่งออกของจีนมายังสหรัฐฯในปี 2567 ที่มีมูลค่า 440,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่มีอยู่ 1.147 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ให้ลดน้อยลงได้ ในวงเล็บที่ว่ามูลค่าการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯยังอยู่ในระดับเดิม
แล้วทำไมจีนถึงยอมรับกับตัวเลขภาษีที่ตัวเองถูกเก็บที่ 55% ในขณะที่เก็บจากสหรัฐฯได้เพียง 10% เท่านั้น จีนคงมองว่าการสูญเสียตัวเลขเกินดุลสหรัฐฯไปจำนวนหนึ่งเป็นสิ่งที่ "ยอมรับได้" เพราะจีนเองเป็นประเทศผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดของโลก ผลิตสินค้าได้มากกว่าความต้องการบริโภคในประเทศได้อย่างมหาศาล มีสินค้าที่สามารถระบายออกมาในตลาดโลกได้อีกมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถชดเชยการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯที่เสียไปได้ไม่ยากเย็นนัก
และที่สำคัญมูลค่าการส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ ทรุดตัวลง 34.5% ในเดือนพ.ค. 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 หรือในรอบ 5 ปี และยอดนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงกว่า 18% ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลดลง 41.55% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่การส่งออกจากจีนไปยังประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทะยานขึ้นเกือบ 15% ในเดือนพ.ค. ส่วนการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 12% และส่งออกไปยังแอฟริกาพุ่งขึ้นกว่า 33% สัญญานชัดว่าจีนขาดอเมริกาก็ไม่ "ขาดใจ"
และอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ การค้าขายระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมีมูลค่าถึง 585,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของการค้าโลก ในปี 2024 โดย 5 อันดับสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯสูงสุดประกอบไปด้วย ถั่วเหลือง อากาศยาน วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ยา และปิโตรเลียม ในขณะที่สินค้าที่ส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯมากที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ คิดเป็น 9% ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นโทรศัพท์มือถือที่จีนผลิตให้กับ Apple บริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐฯ รวมถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ของเล่น และแบตเตอรีจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า
จะเห็นได้ว่าสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯเป็นสินค้าที่พอจะหาแหล่งนำเข้าอื่นทดแทนได้ แต่สินค้าที่สหรัฐฯต้องนำเข้าจากจีนนั้น ต้องบอกว่ามีความสำคัญมากกว่า และเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง มีความจำเป็นต่อความต้องการในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯมากกว่า และที่สำคัญจะเปลี่ยนแหล่งนำเข้าสินค้า ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ง่าย ๆ จีนจึงดูที่จะมีอำนาจต่อรองที่มากกว่า และดูจะเตรียมพร้อมรับมือกับตัวเลขภาษี 55% ไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่สิ่งที่เป็นอีกประเด็นในข้อตกลงเบื้องต้นนี้ที่น่าสนใจมาก ๆ คือการแลกเปลี่ยนกันระหว่าง “แร่หายาก” และ "เทคโนโลยีประมวลผล" ซึ่งเป็นสินค้าที่ทั้ง 2 ประเทศที่การจำกัดการเข้าถึงระหว่างกันมาโดยตลอด และถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเจรจาของทั้ง 2 ประเทศสามารถหาทางออก ได้ข้อสรุประหว่างกันได้
โดยแร่หายากเป็นสิ่งที่สหรัฐฯมีความต้องการอย่างมาก และจีนก็เป็นประเทศผู้ส่งออกแร่หายากรายใหญ่ของโลกที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของทั้งหมด มีเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯได้ และสหรัฐฯก็มี "เทคโนโลยีประมวลผล" ที่จีนมีความต้องการ และทั้งสองสินค้าที่อยู่ในข้อตกลงนี้ ดูจะมีนัยยะสำคัญที่ซ่อนอยู่มากกว่าตัวเลขภาษีด้วยซ้ำไป เพราะทั้งสองสินค้าที่ทั้ง 2 ประเทศมีความต้องการระหว่างกัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์เทคโนโลยี และนวัตกรรมในหลาย ๆ ด้าน ที่จะเพิ่มมูลค่าทางการค้า และความสามารถในการต่อรองให้กับทั้ง 2 ประเทศได้ในอนาคต
ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไม่มีการจำกัดสารตั้งต้นที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแล้วนั้น หลังจากนี้ใครจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อกุมความได้เปรียบระหว่างกัน หรือกุมความได้เปรียบในระดับโลก หรืออาจจะถึงขั้นพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจโลกได้เลยทีเดียว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
