รีเซต

“เมียวดี” จุดเดือดไซเบอร์ จีน–ไทย–เมียนมา ผนึกกำลังปราบขบวนการลวงข้ามชาติ

“เมียวดี” จุดเดือดไซเบอร์ จีน–ไทย–เมียนมา ผนึกกำลังปราบขบวนการลวงข้ามชาติ
TNN ช่อง16
6 กรกฎาคม 2568 ( 16:03 )
8

เมื่อ “เมียวดี” กลายเป็นสมรภูมิใหม่ วิเคราะห์ความร่วมมือจีน–ไทย–เมียนมา ปราบฉ้อโกงโทรคมนาคม

จุดเปลี่ยนของความมั่นคงดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับรัฐบาลไทยและเมียนมา เพื่อเร่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางโทรคมนาคมที่มี “เมียวดี” เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ

ภายใต้การประชุมระดับรัฐมนตรี หน่วยงานด้านความมั่นคงของทั้ง 3 ประเทศเห็นพ้องต้องกันในการบูรณาการทรัพยากรและข้อมูลข่าวกรอง เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมที่ไม่เพียงขยายวงกว้าง แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมอื่น ๆ เช่น การค้ามนุษย์ การฟอกเงิน และการพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย

ตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม

การดำเนินการในปี 2568 นำไปสู่การส่งตัวผู้ต้องสงสัยชาวจีนกลับประเทศมากกว่า 5,400 ราย จากเมืองเมียวดีเพียงแห่งเดียว ซึ่งชี้ชัดว่า ขบวนการหลอกลวงไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นอาชญากรรม “ข้ามพรมแดน” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ สถิติจากสำนักงานป้องกันยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยังระบุว่า ความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง 18,000 – 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว มีคดีออนไลน์กว่า 402,542 คดี ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 ถึงพฤศจิกายน 2567 สร้างความเสียหายกว่า 42,662 ล้านบาท

เมียวดี จากชายแดนร้างสู่ศูนย์กลางเครือข่ายไซเบอร์อาชญากรรม

ก่อนหน้านี้ เมียวดีเป็นเพียงเมืองชายแดนที่เงียบเหงาในรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา แต่เมื่อรัฐบาลกลางเมียนมาตกอยู่ภายใต้ความไร้เสถียรภาพหลังการรัฐประหารในปี 2564 ขุมอำนาจในพื้นที่ชายแดนกลับตกอยู่ในมือของกองกำลังติดอาวุธ และกลุ่มธุรกิจเถื่อน

เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นพื้นที่สีเทา ที่อำนาจรัฐเข้าไม่ถึง แต่กลุ่มอาชญากรเข้าถึงได้เต็มที่ และพัฒนาให้เป็น “ฮับ” ของคอลเซ็นเตอร์, ศูนย์หลอกลวง, ฟาร์มบอท, และโรงงานแปรรูปข้อมูลหลอกลวง ที่เชื่อมโยงกับเหยื่อจากทั่วภูมิภาค

ความร่วมมือที่ต้อง “ข้ามเส้นเขตแดน” จริง ๆ

ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ได้มีแค่การแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือส่งตัวผู้ต้องหา แต่ยังรวมถึงการ

  • รื้อถอนโครงสร้างสนับสนุน เช่น การตัดไฟ-ตัดเน็ตในพื้นที่เป้าหมาย
  • ส่งกำลังลาดตระเวนชายแดน ปิดช่องทางหลบหนี
  • เจรจาการทูตเชิงปฏิบัติ แม้กับกองกำลังท้องถิ่นกึ่งรัฐที่ควบคุมพื้นที่อยู่จริง
  • รณรงค์ป้องกันในประเทศ เช่น ไทยมีศูนย์ PCT, กลุ่ม “อาสาไซเบอร์”, และระบบ AI ตรวจจับธุรกรรมผิดปกติของธนาคาร

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า อาชญากรรมออนไลน์ยุคใหม่ “ไม่จบที่หน้าจอ” แต่ต้องลงมือจริงในภาคสนาม และต้องอาศัย “สามัคคีในระดับรัฐ” ที่ยั่งยืน

ความเสี่ยงยังไม่หมด ขบวนการปรับตัวเร็วแค่ไหน?

แม้การส่งตัวผู้ต้องหา 5,400 รายจะเป็นชัยชนะเชิงยุทธศาสตร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ชี้ว่า เครือข่ายหลอกลวงมีลักษณะ “เหมือนสตาร์ตอัป” ที่สามารถย้ายฐาน ย้ายระบบ และตั้งทีมใหม่ได้ภายในไม่กี่วัน โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตและเงินดิจิทัลยังเปิดช่องให้ใช้แบบไร้ร่องรอย

นอกจากนี้ ยังพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็น “สื่อหลอก”, “เพจปลอม”, หรือแม้แต่ใช้ AI deepfake เพื่อหลอกเหยื่อให้โอนเงิน

ปราบแล้วหรือแค่ “โยกสนามรบ”?

คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ การร่วมมือครั้งนี้จะกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการเปลี่ยนแปลงระยะยาว หรือเป็นเพียง “ฉากหน้า” ของการโยกสนามรบไปยังเมืองใหม่?

หากไม่มีการแก้ไข รากของปัญหา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ช่องโหว่ทางกฎหมาย ความไร้เสถียรภาพของรัฐ และการขาดแคลนทักษะดิจิทัลในประชาชนทั่วไป เราอาจแค่ “ไล่จับเงา” ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่มีวันหมดไป

สุดท้าย “ภูมิคุ้มกัน” ที่แท้จริง อาจไม่ใช่แค่กำลังตำรวจหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่อยู่ที่ ความรู้ของประชาชน ความเข้มแข็งของภาครัฐ และความโปร่งใสของโครงสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง