สภาพัฒน์ชี้ "เลี่ยงขึ้น VAT ไม่ได้" แนะรัฐกำหนดเวลา - ทยอยปรับขึ้น

วันนี้ (24 พ.ย. 68) นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ออกมาเปิดเผยรายงานการศึกษาว่า ประเทศไทยที่ดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต และได้เสนอแนะแนวทางที่ควรดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อให้การปรับขึ้น VAT สร้างประโยชน์สูงสุดและมีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
VAT ไทยต่ำกว่าเพื่อนบ้าน และมีแนวโน้มต้องเพิ่ม
เลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่า อัตรา VAT ปัจจุบันของไทยอยู่ที่ 7% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำเป็นอันดับ 6 ของโลก และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างชัดเจน ทั้งที่บทบาทของ VAT มีความสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐ และสอดคล้องกับแนวโน้มของหลายประเทศที่ต้องปรับเพิ่มอัตรา VAT เพื่อสร้างความสมดุลทางการคลัง
6 บทเรียนสำคัญจากต่างประเทศ
สศช. ได้ถอดบทเรียนการขึ้น VAT จากต่างประเทศเพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ชัดเจน: เช่น สิงคโปร์และญี่ปุ่นกำหนดว่าจะนำรายได้ไปใช้พัฒนาสวัสดิการสังคม การดูแลผู้สูงอายุ หรือการศึกษา
2. ระบบอัตราภาษี 2 ระดับ: เช่น ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร ใช้ระบบอัตรามาตรฐานสำหรับสินค้าทั่วไป และอัตราลดหย่อนสำหรับสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ
3. ทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได: สิงคโปร์และญี่ปุ่นมีการประกาศขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ควบคู่กับการประเมินความพร้อมทางเศรษฐกิจ
4. มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน: สหราชอาณาจักรแจ้งอัตราใหม่ล่วงหน้าประมาณครึ่งปีเพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนปรับตัว
5. มาตรการรองรับผลกระทบ: ญี่ปุ่นใช้มาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น เพิ่มเงินอุดหนุนซื้อบ้าน ส่วนสิงคโปร์ใช้ระบบเงินช่วยเหลือค่าครองชีพแบบจ่ายอัตโนมัติ
6.สื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใส: ญี่ปุ่นและสิงคโปร์เน้นการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน เปิดเผยแผนการใช้งบประมาณจาก VAT ที่เพิ่มขึ้น
รายได้เพิ่ม มุ่งใช้เพื่อสวัสดิการ
น.ส.อ้อนฟ้า กล่าวเสริมว่า การขึ้น VAT จะช่วยฟื้นฟูฐานะทางการคลังของรัฐบาลให้ดีขึ้น และประชาชนจะได้รับสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากระบุวัตถุประสงค์เพื่อจัดสวัสดิการอย่างชัดเจน
อ้างอิงจากงานวิจัยของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า หากปรับขึ้น VAT เพียง 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 0.5% ของ GDP หรือประมาณ 93,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้นี้สามารถนำไปใช้ในโครงการสวัสดิการสำคัญของประเทศได้
ข้อแนะนำในการดำเนินการของไทย
สภาพัฒน์เน้นย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจัง คือ การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ 5 ข้อดังนี้
- กำหนดเป้าหมายการใช้เงินชัดเจน: ต้องระบุว่าเงินที่เพิ่มขึ้นจะนำไปทำอะไร เพื่อให้ประชาชนรับทราบและเกิดความพร้อม
- เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรปรับขึ้นในช่วงที่การบริโภคอุปโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัวแล้ว
- ทยอยปรับขึ้น: แผนการขึ้นต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
- มีมาตรการรองรับผลกระทบ: ต้องออกมาตรการบรรเทาผลกระทบสำหรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
- สื่อสารล่วงหน้า: ควรแจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาในการปรับตัว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
