รีเซต

รู้หรือไม่? โรคต้อหิน เป็นแล้วรักษาได้ รีบหาหมอก่อนตาบอด

รู้หรือไม่? โรคต้อหิน เป็นแล้วรักษาได้ รีบหาหมอก่อนตาบอด
TNN ช่อง16
5 พฤศจิกายน 2563 ( 16:58 )
712

"ต้อหิน" เป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสูญเสียการมองเห็นชนิดถาวรที่พบได้บ่อยที่สุดทั่วโลก โดยในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการอะไร ต่อมาลานสายตาจะค่อยๆ แคบลง ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้ "ตาบอด" ได้ในที่สุด ที่สำคัญก็คือโรคนี้เมื่อมีการสูญเสียการมองเห็นแล้ว จะไม่กลับคืนมาเป็นปกติได้ ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ทำได้มากที่สุดก็คือ ควบคุมไม่ให้ลุกลามมากขึ้นจากวันที่ตรวจพบ

กลุ่มเสี่ยงเป็น "ต้อหิน"

- ทุกเพศทุกวัย พบได้มากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน

- ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากๆ

- ผู้ป่วยเบาหวาน

- ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ทั้งชนิดยาหยอดตา ยาฉีด ยาพ่นหรือยากิน

- ผู้ที่เป็นต้อกระจกจนสุก

* ผู้ที่ใช้สายตามากๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งการได้รับแสงสีฟ้าไม่ได้มีผลต่อการเกิดโรคต้อหินแต่อย่างใด *


สาเหตุที่ทำให้เกิด "ต้อหิน"

ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเสื่อมของร่างกายเอง โรคต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทำลายของขั้วประสาทตา ไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรือพบร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ ที่แทรกซ้อนมาจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดรักษาโรคอื่นๆ ในดวงตา หรือแม้แต่เกี่ยวพันกับโรคทางกายอื่นๆ

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดและเป็นปัจจัยอย่างเดียวที่ควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ "ความดันในลูกตา" ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากความเสื่อมข้างในลูกตาหรือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยาที่ใช้ อุบัติเหตุหรือการผ่าตัด

ขณะเดียวกัน ความดันตาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการเกิดโรคต้อหิน ความดันตาถูกควบคุมโดยสารน้ำในตา ถ้าอัตราการสร้างสารน้ำไม่สมดุลกับการระบายออก ความดันตาก็จะสูง ส่งผลให้ขั้วประสาทตาผิดปรกติ ลานสายตาแคบลง และตามัวได้ในที่สุด

นอกจากนี้ ผู้ป่วยต้อหินต้องได้รับการตรวจลานสายตาด้วยเครื่องตรวจลานสายตาเพื่อใช้ ในการวินิจฉัยและติดตามการรักษา ผู้ป่วยต้อหินบางรายอาจสังเกตการสูญเสียของ ลานสายตาได้ด้วยต้นเองส่วนมากจะเสียรอบนอกแล้วค่อยๆเป็นมากขึ้นเข้าสู่ตรงกลาง

ดังนั้น การตรวจตาโดยจักษุแพทย์ในผู้ที่มี ปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จึงเป็นการป้องกันภาวะตาบอดจากต้อหินได้ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยต้อหินเฉียบพลันจะมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัวอย่างรวดเร็ว โดย อาจพบอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยก็ได้


การรักษา "ต้อหิน"

1. ใช้ยา เป็นการรักษาเบื้องต้นที่ดีที่สุด เพราะสะดวก ปลอดภัย ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ปัจจุบันมียาหยอดตารักษาโรคต้อหินหลายชนิด โดยผู้ป่วยอาจเริ่มใช้ยาเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกัน

2. ใช้แสงเลเซอร์ ประกอบด้วย การใช้แสงเลเซอร์เจาะรูที่ม่านตาเพื่อป้องกัน หรือรักษาโรคต้อหินเฉียบพลันในผู้ที่มีมุมตาปิด การยิงเลเซอร์ที่มุมตาเพื่อลดความดันตาในผู้ป่วย ต้อหินมุมตาเปิด เป็นต้น

3. การผ่าตัด การรักษาต้อหินโดยการผ่าตัดมุ่งเน้นที่การทำช่องระบายน้ำภายในลูกตา เพื่อลดความดันตา มักใช้ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมความดันตาได้ด้วยยาหยอดตา

การผ่าตัดรักษาต้อหินมีหลายวิธี เช่น การผ่าตัด Trabeculectomy การผ่าตัดใส่อุปกรณ์ระบายน้ำสำหรับต้อหิน นอกจากนี้ การผ่าตัดต้อกระจกอาจใช้รักษาต้อหินบางชนิดได้ ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาวิธีการผ่าตัดต้อหินชนิดใหม่ๆอีกหลายวิธี ซึ่งการเลือกใช้วิธีผ่าตัดต้อหินวิธีใดนั้น ขึ้นกับสาเหตุและระยะของโรคต้อหิน

** สิ่งที่สำคัญที่สุดที่แพทย์มักจะเน้นย้ำนั่นก็คือ หากตรวจพบ "ต้อหิน" เร็ว ก็จะสามารถรักษาการมองเห็นไว้ได้นานขึ้น ถ้าตรวจพบช้า มีการสูญเสียการมองเห็นไปมากแล้ว ไม่สามารถจะนำกลับมาเป็นเหมือนได้ **

ขอบคุณข้อมูลจาก

รศ. นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อ.พญ. ดารินทร์ สากิยลักษณ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง