รีเซต

SCC โบรกฯแห่ลดกำไร – ควร “ซื้อ ถือ ขาย” ?

SCC โบรกฯแห่ลดกำไร – ควร “ซื้อ ถือ ขาย” ?
ทันหุ้น
11 มกราคม 2566 ( 12:50 )
24
SCC โบรกฯแห่ลดกำไร – ควร “ซื้อ ถือ ขาย” ?

บล.บัวหลวง ประเมิน SCC หลังผ่านผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน Q4/65 โดยเฉพาะธุรกิจเคมีภัณฑ์ แต่แนวโน้มกำไรหลัก Q1/66 สดใสขึ้นทั้งธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง และแพ็คเกจจิ้ง หนุนราคาหุ้นปรับตัว โดยปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" จากถือ

 

ด้านบล.หยวนต้า แนะ TRADING ให้ราคาเป้าหมายที่ 390 บาท โดยคาดกำไรสุทธิ Q4/65 ทำได้ 1.2 พันล้านบาท (-50% QoQ, -85% YoY) ต่ำสุดรอบหลายปีกำไรลดลง QoQ และ YoY ทั้ง 3 ธุรกิจ คาดธุรกิจปิโตรเคมี- วัสดุก่อสร้างพลิกเป็นขาดทุน กดดันจาก Spread ลดลงตามภาวะอุปทานล้นตลาด – อุปสงค์ปิโตรเคมีอ่อนแอ, ต้นทุน พลังงานของวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น, การด้อยค่าสินทรัพย์  ทั้งนี้ปรับกำไรปี2565 – 2566 ลง 13-26% เป็ น 2.2 หมื่นล้านบาท (-53% YoY) และ 3.1 หมื่นล้านบาท (-13% YoY) ตามลำดับ

 

ฟาก บล.โนมูระ พัฒนสิน มอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/65 ราว 748 ลบ. (-91%y-y, -69%q-q)ลดลงมาก y-y q-q และแย่กว่าคาดเดิม เพราะธุรกิจปิโตรเคมี เผชิญกับ demand จีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดจากการ lockdown ส่งให้ spread อยู่ในระดับต่า กว่าจุดคุ้มทุนและต้องลดการผลิต โดยกำไรที่ลดลง y-y q-q มาจากการลดลงทุกธุรกิจ นำโดยปิโตรเคมีที่ลดลงทั้งปริมาณขายและอัตรากำไรจากภาวะ oversupply, ธุรกิจซีเมนต์ อัตรากำไรลดลงจากการปรับราคาขายทำได้ช้ากว่าต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่ม และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ที่เผชิญกับการแข่งขันัที่สูงขึ้น เพราะการนำเข้าของจีนลดลง (ผลจาก zeroCOVID policy) 

 

ปรับคำแนะนำเป็น Trading Buy ที่ TP23F = 400 บาท/หุ้น มองรอซื้อช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวจากกำไรที่อ่อนแอใน Q4/65 เพื่อเก็งกำไรการฟื้นตัวใน ครึ่งแรกของปี 66

 

ในมุม บล.เมย์แบงก์ มอง SCC คาดกำไร Q4/65 จะทรุดลงเหลือเพียง 1,150 ล้านบาท (-86%YoY) โดยผลประกอบการทรุดลงทั้งสามธุรกิจ คือ เคมิคอลส์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ บรรจุภัณฑ์ จากความต้องการที่อ่อนแอ ราคาที่ปรับลดลง ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ลดลง 22% เหลือ 23,376 ล้านบาท ลดลง 53%YoY แต่การที่จีนกลับมาเปิดประเทศจะทำให้ผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัว คงประมาณการกำไร 31,652 ล้านบาท ฟื้นตัว 42% แต่ฐานกำไรยังต่ำ 

 

ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี Sum of the part ปี 2566 เท่ากับ 340 บาท คงแนะนำ ถือ

 

ส่วน บล.ดาโอ คงคำแนะนำ  “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 330.00 บาท อิงวิธี SoTP เราประเมินว่าบริษัทจะรายงานกำไร Q4//65 ที่อ่อนแอที่ 1.4 พันล้านบาท (-84% YoY, -44% QoQ) โดยลดลงอย่างมาก YoY ตามปริมาณขายและส่วนต่างราคาปิโตรเคมี (petrochemical price spread) ที่ลดลง ขณะที่ลดลง QoQ จากความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) และธุรกิจ แพ็กเกจจิ้งที่มีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้น 

 

นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบเชิงลบ จากเงินปันผลที่น้อยลงจากการที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จ ากัด (TMT) ถูกตัดสินให้ ชำระภาษีอากรย้อนหลังและจากการที่บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) (COTTO) ต้องตั้ง สำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์ (loss on impairment of assets) ทั้งนี้ เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัว QoQ ใน Q1/66จาก petrochemical price spread ที่สูงขึ้นและต้นทุนพลังงานที่ลดลง

 

และ บล.ทรีนิตี้ สแกน SCC ปรับคำแนะนำลงเป็น ขาย และคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 305.00 บาท อิง Avg 15-year PBV -1.5 SD ที่ 0.95 เท่า ซึ่งเป็น Valuation ที่เหมาะสมในช่วงที่ธุรกิจอยู่ใน Down Cycle 3 เดือน ราคาหุ้นปรับขึ้นมากว่า 12% แต่แนวโน้มผลกำไรอาจจะยังอยู่ในระดับต่ำใน 1H23 ด้วยส่วนต่างปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในระดับต่ำ คาด SCC จะรายงานกำไร Q4/65 ลดลงเหลือ 1.4 พันล้านบาท -83% YoY, -41% QoQ ธุรกิจปิโตรเคมียังอ่อนแอ และธุรกิจซีเมนต์และก่อสร้าง กระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น 

 

ส่วนแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีจะยังไม่ดีในปี 2566 ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว Supply นั้นยังคงมีเข้ามา 5-6% และยังมี spare capacity ที่ยังเหลืออยู่จากการ cut run อีกว่า 20% ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท +15% YoY บนสมมติฐานส่วนต่างปิโตรเคมี USD400/ton ปัจจุบันราคาปิโตรยังอยู่ระดับต่ำ USD300-360/ton

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง