CBGปันผล75สตางค์ ธุรกิจจัดจำหน่ายช่วย
#CBG #ทันหุ้น – CBG แจ้งงบ 2565 รายได้แตะ 1.25 ล้านบาท โตดี 11% ในประเทศบวก สัญญาณ CLMV ดี กำไร 2.2 พันล้านบาท ลดลง 21% ต้นทุนเพิ่มกดดัน แต่ได้ธุรกิจจัดจำหน่ายมาช่วย บอร์ดเคาะปันผลอีก 0.75 บาท
นายพงศานติ์ คล่องวัฒนกิจ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งผลประกอบการบริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในปี 2565 ที่จำนวน 2,286 ล้านบาท ลดลง -21% โดยไตรมาส 4/2565 มีกำไรสุทธิ 404 ล้านบาท
บริษัทรายได้รวมปี 2565 ที่ 1.92 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% แบ่งเป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 12,591 ล้านบาท ลดลง -0.2% YoY สัดส่วนธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ 47:53 รายได้จากการขายในประเทศจำนวน 5,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1% จากการเติบโตของเครื่องดื่มคาราบาวแดง ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัท เริ่มรับรู้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้เครื่องหมายการค้าคันโซ คูณสอง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแบบไม่อัดก๊าซ บรรจุขวดขนาด 150 มิลลิลิตร มีส่วนผสมจากตับ กลูโคโรโนแล็กโทนและสารสกัดขมิ้นชันเข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น
@ CLMV เติบโตดี
ส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมีจำนวน 6,829 ล้านบาท ลดลง -1% โดยในกลุ่มประเทศ CLMV มียอดขายเพิ่มขึ้น +5% โดยยอดขายในประเทศเวียดนามมีปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดส่งออกไปยังประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น +60% รวมถึงประเทศกัมพูชา และกัมพูชามียอดขายเติบโต +4% และ +2% ตามลำดับ ส่วนจีนและประประเทศอื่นๆ ลดลง 36% และ 30% ตามลำดับ
ขณะที่รายได้จากการขายในตลาดประเทศอังกฤษภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อย Intercarabao Company Limited (ICUK) เพิ่มขึ้น +48% YoY มาจากการออกสินค้ารสชาติใหม่ รวมถึงการออกรูปแบบบรรจุภัณฑ์แบบใหม่
@จัดจำหน่ายพุ่ง 50%
ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกเท่ากับ 5,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +50% โดยบริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการจัดจำหน่าย 555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% จากประสิทธิภาพการกระจายผ่านช่องทางหน่วยรถเงินสดจำนวน 300 คัน สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกได้มากกว่า 180,000 ร้านค้า ทั่วประเทศ ประกอบกับคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
ในขณะที่รายได้ขายอื่นเท่ากับ 807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้วที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ให้แก่บริษัทคู่ค้า
@ต้นทุนสูงกดกำไร
ในปี 2565 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 5,633 ล้านบาท ลดลง -9% YoY คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29% ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่36% มีสาเหตุหลักจากสัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ บริษัทดำเนินการผลิตด้วยตนเองซึ่งเป็นธุรกิจหลักปรับตัวลดลงมาอยู่ที่66% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งอยู่ที่สัดส่วน 73% ของรายได้จากการขายรวม ประกอบกับบริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบและหีบห่อที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอะลูมิเนียมที่ปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
ส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารจำนวน 3,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +5% YoY หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขายรวมที่ 16% ลดลงจาก 17% ในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายบริหารลดลง โดย บริษัทเข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักกับสโมสรฟุตบอลฮองอันห์ยาลาย ประเทศเวียดนาม เป็นระยะเวลา 2 ฤดูกาล โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจะเริ่มรับรู้เป็นเส้นตรงผ่านงบการเงินของบริษัทเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2566
@ปันผลอีก 0.75 บาท
คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 พิจารณาจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2565 ในอัตรา 0.75 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 750 ล้านบาท อนึ่งเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดเดือนมกราคม – มิถุนายน 2565 จำนวน 0.75 บาท รวมเป็นจำนวนเงินที่จ่ายทั้งปี 2565 ที่ 1.50 บาท
ทั้งนี้จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 มีนาคม 2566 และหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลดังกล่าว บริษัทจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566