รีเซต

(ถึงเวลา) ทบทวนบทลงโทษทางอาญาว่าด้วยการเอาผิด ‘เด็ก-เยาวชน’

(ถึงเวลา) ทบทวนบทลงโทษทางอาญาว่าด้วยการเอาผิด ‘เด็ก-เยาวชน’
TNN ช่อง16
18 มกราคม 2567 ( 10:46 )
53
(ถึงเวลา) ทบทวนบทลงโทษทางอาญาว่าด้วยการเอาผิด ‘เด็ก-เยาวชน’


ในเวลาไม่ถึง 1 ปีได้เกิดเหตุอาชญากรรมร้ายแรงที่มีผู้ต้องหาเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไม่ว่าจะเป็นเหตุยิงในศูนย์การค้ากลางเมือง หรือ การรุมทำร้ายหญิงรายหนึ่งและอำพรางศพที่จังหวัดสระแก้ว


ในกรณีหลังนี้นอกจากเป็นเรื่องความรุนแรงแล้วยังเป็นการสะท้อนการดูแลเด็กในครอบครัวของพ่อแม่ที่ขาดการชี้นำชีวิตที่เหมาะสม (Supervision Neglect) ส่งผลให้เด็กไม่รู้ว่า เด็กไม่ควรกระทำความรุนแรงต่อผู้ป่วยทางจิต และเมื่อเด็กถูกตอบโต้ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมพฤติกรรมได้


แต่ตามกฎหมายแล้วผู้ที่อายุไม่เกิน 15 ปีนับว่าเป็นเยาวชน ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฉะนั้นการจับกุม สอบสวน คุมตัว หรือแม้แต่แจ้งข้อกล่าวหาล้วนแล้วแต่ต้องมีหลักกฎหมายและหลักจริยธรรมครอบเป็นเกราะปกป้องเด็กไว้


สังคมต้องเข้าใจว่าเด็กหรือเยาวชนเมื่ออยู่ในสถานะเป็นผู้กระทําผิดแล้ว กฎหมาย จะมองว่าพวกเขามีความรู้สึกผิดชอบอย่างจํากัด ไม่เหมือนกรณีผู้ใหญ่ดังนั้นกฎหมายอาญาจึงกําหนดการเอาผิดทางอาญาไว้เป็นกรณีพิเศษ


ข้อแตกต่างระหว่าง เด็ก-เยาวชน 


เด็ก หมายความว่า บุคคลอายุยังไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่เดิมกําหนดให้บุคคลอายุเกิน 7 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์


เยาวชน หมายความว่า บุคคลอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ แต่เดิมกําหนดให้บุคคลอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์


ข้อแตกต่างในการรับผิดทางประมวลกฎหมายอาญา


มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกิน 10 ปี กระทําการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ ให้พนักงานสอบสวนส่งตัวเด็กให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อดําเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมาย


มาตรา 74 เด็กอายุยังไม่เกิน 10 ปี แต่ยังไม่เกิน 15 ปี กระทําการอันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ในศาลมีอํานาจที่จะดําเนินการ เช่น ว่ากล่าว ตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป หรือถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือ บุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้ หรือศาล ผู้ปกครองระหว่างเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกําหนดซึ่งต้องไม่เกินสามปีและกำหนดจำนวน


มาตรา 75 ผู้ใดอายุกว่า 15 ปี แต่ต่ำกว่า 18 ปี กระทําการอันกฎหมาย บัญญัติเป็นความผิด ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้ผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้นั้น ในอันที่ จะควรวินิจฉัยว่าสมควรพิพากษาลงโทษผู้นั้นหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษก็ ให้จัดการตามมาตรา 74 หรือถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษ ก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่ กําหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง


มาตรา 76 ผู้ใดอายุตั้งแต่ 18 ปี แต่ยังไม่เกิน 20 ปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้


สำหรับความผิดทางแพ่งมีกฎหมายกำหนดความรับผิดระหว่างผู้เยาว์กับบิดามารดาไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 429 ‘บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อม ต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น’


ข้อแตกต่างในการจับกุมเด็ก กับ ผู้ใหญ่


สำหรับเด็กและเยาวชน เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ‘พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553’ และ ‘พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2565’


โดยเมื่อมีการจับกุมเด็กอายุต่ำกว่า 12 – 18 ปี ตำรวจ ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายให้เด็กและเยาวชนทราบ หลังจากนั้นก็ให้นำตัวเด็กหรือเยาวชนไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยเร็ว ทำการสอบสวนสอบปากคำ ดำเนินกระบวนการตามกฎหมาย และให้ ส่งตัวเด็กหรือเยาวชน ที่ถูกจับไปศาลเพื่อตรวจสอบการจับกุม ภายในเวลา 24 ชั่วโมง


ในส่วนการออกหมายจับเด็กและเยาวชน ศาลจต้องคํานึงถึงการคุ้มครองสิทธิเป็นสําคัญ โดยเฉพาะในเรื่องอายุ เพศ และอนาคตของเด็กหรือเยาวชน หากการออกหมายจับจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรงโดยไม่จําเป็น ให้พยายามเลี่ยง และใช้วิธีติดตามตัวแทน


หรือแม้แต่การบันทึกภาพผู้กระทำผิดที่เป็นเด็กหรือเยาวชน เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้จับกุมที่ต้องควบคุมไม่ให้มี การสอบสวนต้องทําในสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ปะปนกับผู้ต้องหาอื่นหรือบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือลักษณะเป็นการประจาน


ทั้งนี้ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในคดีซึ่งเด็กและเยาวชนต้องหาว่ากระทําความผิดไม่ว่าจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามพระราชบัญญัติอื่นๆ รวมทั้งคดีอาญาที่โอนมาจากศาลธรรมดาในกรณีที่จําเลยอายุยังไม่เกิน 20 ปีบริบรูณ์ 


ถ้าสำนึกผิดเด็ก(ที่กระทำผิด)ไม่ต้องถูกส่งฟ้อง


เกิดขึ้นได้ในกรณีที่เด็กหรือเยาวชนสํานึกในการกระทําก่อนฟ้องคดี เมื่อคํานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สภาพร่างกาย สภาพจิต อาชีพ ฐานะ และเหตุแห่งการกระทําความผิดแล้ว หาก ผู้อํานวยการสถานพินิจพิจารณาเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นอาจกลับตนเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง 


ขั้นต่อไปเป็นการจัดทําแผน แก้ไขบําบัดฟื้นฟูให้เด็กหรือเยาวชนปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยนความประพฤติของเด็กหรือเยาวชน บรรเทา ทดแทน หรือชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ชุมชนและสังคม 


แต่ทั้งนี้การจัดทําแผนแก้ไข บําบัดฟื้นฟูต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายและเด็กหรือเยาวชนด้วย


ปรับอายุเด็กจาก 10 ปีเป็น 12 ปีให้ไม่ต้องรับโทษเมื่อทำผิด


ปัจจุบันประมวลกฎหมายอาญากำหนดเกณฑ์อายุเด็ก ‘ไม่เกิน 10 ปี’ ให้ไม่ต้องรับโทษแม้ได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้


แต่ด้วยข้อมูลทางการแพทย์ ระบุว่า เด็กอายุ 12 ปี กับ เด็กอายุ 10 ปี ไม่มีความแตกต่างกันมากนักเป็นช่วงอายุที่พัฒนาการด้านความคิด สติ ปัญญาจริยธรรม และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่และ ยังไม่สามารถคาดการณ์ถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำของตนได้อย่างดีพอ 


อีกทั้งเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี อยู่ในวัยการศึกษาระดับประถมศึกษา ยังไม่สมควรให้เข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีอาญา จึงมีการออกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 29) พุทธศักราช 2565 เพื่อให้การสงเคราะห์และคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของเด็กอายุ 10 ปี แต่ไม่เกิน 12 ปี ได้รับผลดีมากขึ้น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุด ของเด็กเป็นสำคัญ เพื่อให้เด็กกลับตัวเป็นคนดีและเป็นประชากร ที่มีคุณภาพกลับคืนสู่สังคมได้



ฉะนั้นแล้วจากเดิมเด็กอายุไม่เกิน 10 ปีเมื่อทำผิดจะไม่ต้องรับผิด พรบ.ฉบับนี้ได้ขยายช่วงเวลาเพิ่มขึ้นให้จากนี้เด็กอายุไม่เกิน 12 ปีทำผิดไม่ต้องรับผิด


อ้างอิงข้อมูล : 

สำนักงานกิจการยุติธรรม


ข่าวที่เกี่ยวข้อง