รีเซต

'กสิกรไทย' สแกน 'STEC' แนวโน้มแกร่ง-ราคา laggard

'กสิกรไทย' สแกน 'STEC'  แนวโน้มแกร่ง-ราคา laggard
ทันหุ้น
18 พฤษภาคม 2565 ( 14:03 )
186

#STEC #ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย จำกัด ส่องหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC กำไรปกติไตรมาส 1/2565 ที่ 231.7 ลบ. (+17.4% YoY/-1.4% QoQ) ต่ำกว่าพรีวิวของฝ่ายวิจัย 7% กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 18.1% ของประมาณการปี 2565 แนวโน้มสดใสสำหรับการสร้าง backlog ใหม่จากงานที่เซ็นสัญญาใหม่ โครงการที่รอการเซ็น และโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังจะมีขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 20.65 บาท ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคำแนะนำ 1) การแข่งขันที่ผ่อนคลาย 2) โครงการที่จะเกิดขึ้น 3) กำไรที่ฟื้นตัวและ 4) ราคาที่ยัง laggard

 

STEC ได้ประกาศงบการเงินไตรมาส 1/2565 แสดงกำไรปกติในไตรมาส 1/2565 ที่ 231.7 ลบ. เพิ่มขึ้น 17.4% YoY จากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้นของโครงการปัจจุบัน แต่ลดลงเล็กน้อย 1.4% QoQ จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่สูงขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรปกติน้อยกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัย 7.3% จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงกว่าที่คาดไว้ กำไรปกติไตรมาส 1/2565 คิดเป็น 18.1% ของประมาณการกำไรปกติของฝ่ายวิจัยในปี 2565

 

สถิติการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 รายได้อยู่ที่ 7.6 พันลบ. เพิ่มขึ้น 0.9% YoY และ 9.1% QoQ สอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิจัย backlog ของบริษัทฯ ในปัจจุบันหลังจากหักรายได้ที่รับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2565 รวม 9.7 หมื่นลบ. โดยไม่รวมโครงการอู่ตะเภามูลค่า 2.7 หมื่นลบ. ซึ่งกำลังรอการลงนาม โครงการหลักที่รอดำเนินการประกอบด้วย 1) โครงการโรงไฟฟ้าของ GULF (หินกองและปลวกแดง) มูลค่าประมาณ 1.3 หมื่นลบ. 2) โครงการรถไฟทางคู่ (เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ) มูลค่า 1.7 หมื่นลบ. 3) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่า 1.5 หมื่นลบ. และ 4) โครงการด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ M6 และ M81 มูลค่า 6 พันลบ. และอื่นๆ ในด้านของตันทุน อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้อยู่ที่ 2.4% เทียบกับ 2.4% ในไตรมาส 1/2564 และ 1.7% ในไตรมาส 4/2564

 

แนวโน้ม ฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโครงการที่มีกำไรต่ำ เช่น อาคารรัฐสภา ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ โดยคาดว่าบริษัทฯ ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (มูลค่า 9.6 หมื่นลบ.) และโครงการรถไฟรางคู่ระยะที่ 2 นอกจากนี้ ยังคาดว่าการแข่งขันในตลาดประมูลจะคลี่คลายลงจากการเปิดประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ และ การร่วมกันของ STEC กับ CK เพื่อประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้ GPM โดยรวมของโครงการเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วย

ให้ STEC และ CK ชนะโครงการได้มากขึ้น

 

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ในเชิง YTD ราคาหุ้นลดลง 14% เทียบกับ CK ที่ลดลง 17.8% ITD ที่ลดลง 20.3% และ SET ที่ลดลง 3.3% ในเชิง YoY ราคาหุ้น STEC laggard โดยลดลง 3% เทียบกับ CK ที่เพิ่มขึ้น 11.2% ITD ที่เพิ่มขึ้น 6.9% และ SET ที่เพิ่มขึ้น 4.2% ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ PER ปี 2565 ที่ 16.4 เท่าหรือ 1.2SD ต่ากว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อน

 

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายตามวิธีรวมส่วนของกิจการ (SOTP) ที่ 20.65 บาท ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคำแนะนำ ได้แก่ 1) โอกาสที่จะชนะโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่กำลังจะมีขึ้น เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการรถไฟรางคู่ 2) การขยาย GPM 3) การแข่งขันที่รุนแรงน้อยลงระหว่างผู้รับเหมารายใหญ่จากจากการเปิดประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐและ 4) ราคาหุ้นที่ laggard

 

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ รวมถึง 1) ความล่าช้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ 2) การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้รับเหมาทั้งในและต่างประเทศ 3) การขาดแคลนแรงงาน/การขึ้นค่าแรง 4) การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ 5) ความไม่สงบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง