'ปิยบุตร' ชี้ปัญหาชุมนุมต้องรับผิดชอบร่วมกัน ยังแทงกั๊กร่วมม็อบกับนักศึกษา
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 16 สิงหาคม ที่อาคารไทยซัมมิท นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า บรรยายสาธารณะพิเศษ “ชวนสนทนาว่าด้วย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ตอนหนึ่งว่า การบรรยายของตนวันนี้ปฎิเสธไมได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งการชุมนุมในวันนั้นมีการยกประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาปราศรัยบนเวทีสาธารณะ แล้วนำมาซึ่งการเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ดังนั้นการบรรยายของตนในวันนี้เพื่อสื่อสาร ไปยังสาธารณะว่าประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดวางตำแแหน่งแห่งที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย เราสามารถอภิปรายกันได้อย่างเปิดเผย จริงใจ ตรงไปตรงมา ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม พร้อมที่จะรับฟังซึ่งกันและกันด้วยท่าที่ที่เปิดกว้าง ทั้งหมดนี้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เคียงคู่กับระบอบประชาธิปไตย เจตนาของตนในวันนี้ก็ด้วยความปราถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ขอให้คนที่คิดแตกต่างจากตน คนที่อคติกับตนทดลองฟังให้จบ และขบคิดดูว่าทั้งหมดที่ตนสื่อสารไปก็พื่อการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบบประชาธิปไตยนั่นเอง และนี่ก็คือสังคมประชาธิปไตย บุคคลมีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนเอง และต้องอดทนอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การบรรยายแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ลักษณะของรัฐและการเมืองกาปกครองแบบสมัยใหม่ 2.กำเนิดและพัฒนาการของระบบคอนสติติวชั่นแนล โมนากี้ 3. การกำเนินขึ้นของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมาหากษัตริย์เป็นประมุขในประเทศไทย และ 4.ลักษณะองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในทัศนะของตน
นายปิยบุตร กล่าวว่า ขอย้ำว่าทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันคิด เมื่อประเทศไทยมาถึงจุดนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อ และขอย้ำว่าการบรรยายของตนในครั้งนี้สืบเนื่องจากการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ทุกคนปฎิเสธไม่ได้เพราะทุกอย่างคือข้อเท็จจริง ส่วนตัวก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นการอภิปรายและปราศรัยถึงขนาดนี้ และเชื่อว่ามีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยและติดใจกับการแสดงออกและท่าทางบนเวที แต่เราไม่สามารถย้อนกลับไปลบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเรียบร้อยดังนั้นเราต้องช่วยกันคิดว่าจะบริหารเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาธิปไตย ให้อยู่ด้วยกันได้
“ผมเห็นว่าเบื้องต้นเราต้องเร่งดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 3 ประเด็นหลัก เพื่อเป็นทางออกของประเทศทั้งหมด เราจะได้บ้านเมืองที่กลับสู่เหตุการณ์ปกติ การสืบทอดอำนาจจะค่อยๆ ถอยไป จะได้กติกาใหม่จากมติของคนทุกฝ่าย เป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งเรื่องนี้เราสามารถได้ทันที ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลามบานปลาย ส่วนประเด็นการชุมนุมของนิสิต นักศึกษา ถ้าทุกคนได้ติดตามจะทราบว่าเยาวชนมีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งไม่เคยปรากฎในพื้นที่สาธารณะมาก่อน หรือบนเวทีต่างๆ แต่วันนี้เกิดขึ้นแล้ว วิธีการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียง 2 ทาง คือ 1.กำจัดให้หมด กับ 2. ยอมรับ รับฟัง และนำมาเป็นประเด็นสาธารณะ พูดคุยและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งผมมองว่าทางเลือกที่ 1 ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ ไม่สามารถปราบหรือกำจัดได้หมด ทำได้เพียงแค่ทำให้คนเห็นต่างหายไปจากประเทศไทยในชั่วขณะ แต่ความคิดแบบนี้จะยังมีอยู่และท้ายที่สุดจะวนกลับมาที่เดิม เหมือนเข็มนาฬิกาที่จะเดินกลับมาที่เดิม ดังนั้นวิธีการแรกนั้นมองว่าไม่เป็นคุณต่อใคร เป็นการฆ่าอนาคตของชาติ ทำให้สังคมไทยไม่มีอนาคตอีกต่อไป จึงเหลือเพียงทางเดียวคือหนทางที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎแล้ว จึงต้องมาหารือและหาทางออกร่วมกันด้วยความเคารพ ความจริงใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยเพื่อแสวงหาทางออก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า บรรยากาศของนิสิต นักศึกษาวันนี้ ไปเร็วมากจนคาดไม่ถึง ทุกคนต้องทราบว่าอายุหรือวัยของเขามีความเร้าร้อนอยากเปลี่ยน จึงอยากให้ผู้ที่มีอาวุโสสูงกว่า ผู้ที่มีประสบการณ์ พยายามทำความเข้าใจ แบ่งแยกท่าทีและทำความเข้าใจว่าวัยของนิสิต นักศึกษาต้องการอะไร สิ่งสำคัญคนรุ่นก่อนรวมทั้งตนจะต้องรับผิดชอบด้วย เพราะนิสิต นักศึกษา หรือนักเรียนเขาไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่เป็นผลพวงจากระบอบในสังคม ที่ทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา และส่งมอบให้คนรุ่นหลัง และพวกเขาไม่อยากเป็นแบบนี้ ซึ่งมันคือความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อหาทางออก ไม่ใช่รับผิดชอบร่วมกันโดยการปราบพวกเขาให้หมด
เมื่อถามว่า ประเมินการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาอย่างไร หลังเริ่มมีแกนนำถูกจับกุม นายปิยบุตร กล่าวว่า เป็นเทคนิคของเจ้าหน้าที่รัฐในระบอบเผด็จการ ที่เอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือ เขารู้ดีว่าการใช้กำลังปราบปรามการชุมนุมทางกายภาพมันไม่ชอบธรรม จะทำให้เขาเสียหาย ถ้าใช้ความรุนแรงทางอาวุธมันดูไม่ดี จึงเป็นเป็นทากฎหมาย ใช้กระบวนการยุติธรรม ใช้เทคนิคตั้งข้อกล่าวหาให้เยอะเข้าไว้ เพื่อออกหมายจับ และเก็บเข้าลิ้นชักเพื่อดูจังหวะว่าวันไหนจะเข้าจับ อย่างกรณีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน มีชื่ออยู่ใน 31 คนที่ถูกหมายจับ และมีการจับกุมไปแล้ว2 คนคือ นายอานนท์ นำพา กับนายภานุพงษ์ จาดนอก หรือไมค์ ซึ่งวันเดียวกันเพนกวิน ได้ปราศัยอยู่หน้าสน.บางเขน หมายจับมีอยูแต่ตำรวจไม่จับ แต่มาจับวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านผ่านมา เพราะตำรวจกังวลว่าจะไปปราศัย จึงจับกุมและวางเงื่อนไขมากมาย
“และเป็นอะไรไม่รู้ชอบจับกุมกันวันศุกร์ ผมเชื่อว่าตำรวจติดตามแกนนำทุกคน แต่คุณไม่จับหรอก แต่จะใช้เทคนิคอย่างนี้ ตั้งข้อหาเยอะๆออกหมายจับทิ้งไว้ เลือกจับทีละคนๆเพื่อให้การชุมนุมมันอ่อนแรงลง เขารู้ว่ายิงไม่ได้ ปราบไม่ได้ ใช้กำลังไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้แทน อย่าเอากระบวนการยุติธรรม กระบวนการทางกฎหมาย ไปรับใช้เป้าหมาย แบบนี้เรียกว่ารัฐตำรวจ คุณมีเป้าแล้วว่าจะไม่ให้เขาพูด ก็ใช้ทุกวิถีทางไปทำไม่ให้เขาพูดผ่านกระวนการทางกฎหมาย ประชาชนไม่ได้กินแกลบกินหญ้า กรณีบอส อยู่วิทยา ที่ขับรถชนคนตาย ไม่ขยันตรวจสอบจนให้เขาหลบหนีไปต่างประเทศได้แต่กลับนิสิต นักศึกษาเขาใช้ชีวิตปกติ แต่คุณไปตามส่องเขาทุกวัน แล้วตามจับอย่างกับเขาเป็อาชญากรโดยสันดาน แบบนี้คนจะเห็นมากขึ้นว่า กระบวนการยุติธรรมที่คุณเอามาใช้เพื่อกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ” นายปิยบุตร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเยาวชนผู้มาร่วมฟังบรรยาย ได้แสดงความคิดเห็นโดยขอเชิญชวนแกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมชุมนุมกับนักศึกษาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงให้จัดสัมนาทางวิชาการ เสวนาอย่างจริงจังถึงข้อเรียกร้อง 10 ข้อ เพื่อร่วมกันหาทางออก ที่ไม่ใช่เป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่น หรือาฆาตมาดร้าย ต่อสถาบัน โดยนายปิยบุตร กล่าวตอบสั้นๆว่า “ผมรับเอาไปพิจารณา”