ผ่าวิกฤตราคาข้าวไทยต่ำสุด 15 ปี เสี่ยงปี 69 ยังขาลง

ผ่าวิกฤตราคาข้าวไทย ดิ่งต่ำสุดรอบ 15 ปี – ปี 69 ยังเสี่ยงขาลงต่อ
อุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากคู่แข่งหลักอย่างอินเดียและเวียดนาม การเปลี่ยนแปลงของตลาดนำเข้า ต้นทุนการผลิตในประเทศ ตลอดจนเทรนด์สิ่งแวดล้อมระดับโลก ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ปี 2568 กลายเป็นจุดต่ำของราคาส่งออกข้าวไทยในรอบ 15 ปี และแนวโน้มปี 2569 ยังอยู่ในทิศทางถดถอย หากไทยไม่เร่ง “ย้ายสนามแข่งขัน” และยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง
ราคาข้าวปี 68 ดิ่งแตะจุดต่ำสุด ส่งออกหดแรงพร้อมกัน
ข้อมูลของ Krungthai COMPASS ระบุว่า สัญญาณขาลงเริ่มชัดตั้งแต่ปลายปี 2567 เมื่อราคาส่งออกข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นชนิดหลักของไทยเริ่มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันด้านราคาตลาดโลกและการแข่งขันจากคู่แข่ง
ในเดือนตุลาคม 2568 ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยเหลือเพียง 356 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลง 31% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2560–2566 ที่ราว 418 ดอลลาร์ต่อตัน ถือเป็นการกลับไปยืนในโซนราคาต่ำสุดรอบราว 15 ปี
ด้านปริมาณส่งออก ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงตุลาคม 2568 ไทยส่งออกข้าวได้ราว 6.4 ล้านตัน ลดลง 24% จากปีก่อน และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงเดียวกันของปี 2560–2567 ที่ราว 6.9 ล้านตัน โดยเฉพาะข้าวขาวซึ่งเป็นสินค้าหลัก ปริมาณส่งออกหายไปถึง 41% ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าไทยกำลังเจอทั้ง “ราคาตก” และ “ปริมาณหด” พร้อมกัน
อินเดียระบายสต๊อก 20 ล้านตัน เขย่าตลาดโลก ฉุดราคาข้าวไทยปี 69
ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนสมดุลตลาดข้าวโลก คือการกลับมาระบายสต๊อกข้าวของอินเดีย ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก หลังเคยใช้นโยบายจำกัดการส่งออกมาก่อนหน้า
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 อินเดียประกาศโครงการ Open Market Sale Scheme (OMSS-D) เพื่อทยอยระบายสต๊อกข้าวรวมกว่า 20 ล้านตัน ตั้งแต่กันยายน 2568 เป็นต้นไป หากดำเนินการตามกรณีฐาน โดยปล่อยข้าวเฉลี่ย 1.6 ล้านตันต่อเดือนจนถึงสิงหาคม 2569 อุปทานข้าวในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
USDA ประเมินว่า อินเดียจะส่งออกข้าวในปี 2568 ได้ราว 23.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 63% จากปี 2567 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 2563–2567 ที่ราว 17.9 ล้านตัน เมื่อผู้เล่นที่ถือส่วนแบ่งมากกว่าหนึ่งในสามของตลาดโลกเร่งปล่อยของ ราคาข้าวโลกจึงถูกกดลง และลากราคาข้าวขาว 5% ของไทยให้ต่ำลงตามไปด้วย
Krungthai COMPASS ประเมินว่า
- ปี 2568 ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยเฉลี่ยจะอยู่ราว 405 ดอลลาร์ต่อตัน ใกล้เคียงประมาณการของ World Bank ที่ราว 406 ดอลลาร์
- ปี 2569 ราคาเฉลี่ยจะอยู่เพียง 345–380 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ปริมาณส่งออกคาดว่าจะเหลือราว 7.0 ล้านตัน ลดลงราว 30% จากปี 2567
- แบบจำลองเชิงเศรษฐมิติระบุว่า เมื่อปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 1% ราคาข้าวเฉลี่ยจะลดลงราว 0.6–0.8% และสำหรับไทยเอง ความยืดหยุ่นของราคาข้าวต่อปริมาณการค้าข้าวโลกอยู่ที่ราว -0.4 หมายความว่า หากการค้าข้าวโลกเพิ่มขึ้น 1% ราคาข้าวไทยมีโอกาสลดลงราว 0.4% ด้านปริมาณส่งออก หากอินเดียเพิ่มการส่งออกข้าว 1% ปริมาณส่งออกข้าวของไทยจะลดลงราว 0.2% ยืนยันความเป็น “คู่แข่งโดยตรง” ในสนามเดียวกัน
ดีมานด์คู่ค้าหด นโยบายปกป้องเกษตรกรบีบคำสั่งซื้อข้าวไทย
ในอีกด้านหนึ่ง ความต้องการนำเข้าข้าวจากประเทศคู่ค้าหลักก็ชะลอลงพร้อมกัน อินโดนีเซียซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปอินโดนีเซียราว 1.3 ล้านตัน จากการที่รัฐบาลอินโดนีเซียเร่งนำเข้าเพื่อกดราคาข้าวในประเทศ
แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2568 อินโดนีเซียหันมาใช้นโยบายคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ จำกัดการนำเข้าข้าวเพราะผลผลิตภายในเพียงพอ ส่งผลให้ช่วงมกราคม–สิงหาคม 2568 ปริมาณข้าวไทยที่ส่งออกไปอินโดนีเซียลดลงถึง 1.04 ล้านตัน หรือหายไป 94% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของไทยก็มีทิศทางคล้ายกัน รัฐบาลมีแนวโน้มห้ามนำเข้าข้าวในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 เพื่อปกป้องชาวนาในประเทศ สถานการณ์นี้ทำให้คำสั่งซื้อข้าวจากไทยหดตัวต่อเนื่อง เมื่อประเทศผู้นำเข้ามุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารในประเทศ ศักยภาพการส่งออกข้าวของไทยจึงถูกกดทั้งจากฝั่งอุปสงค์และอุปทาน
สหรัฐเร่งเปิดทางข้าวตัวเอง ไทยเสี่ยงเสียพื้นที่ในตลาดพรีเมียมญี่ปุ่น
อีกแรงกดดันที่ไม่ใช่แค่เรื่องราคา คือการแข่งขันเชิงการเมืองการค้าจากสหรัฐฯ ที่เร่งเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้าข้าวจากตนเอง โดยกรณีของญี่ปุ่นถือว่าชัดเจน
ปัจจุบัน ข้าวไทยครองส่วนแบ่งราว 43% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของญี่ปุ่น ภายใต้โควตา Minimum Access ของ WTO ที่เปิดทางให้นำเข้าข้าวโดยไม่เสียภาษีราว 770,000 ตันต่อปี อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคม 2568 สหรัฐฯ และญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงให้ญี่ปุ่นเพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ได้ถึง 75% ของโควตา
หากข้อตกลงดังกล่าวเดินหน้าเต็มที่ ส่วนแบ่งตลาดของข้าวไทยในญี่ปุ่นมีโอกาสถูกบีบลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหาร ในขณะที่ไทยยังต้องรักษาความสามารถแข่งขันด้านราคาควบคู่กันไป
ค่าเงินบาทแข็ง กดดันราคา ส่งออกยากขึ้นในสมรภูมิ “สงครามราคา”
Krungthai COMPASS ชี้ว่า ค่าเงินบาทเป็นตัวแปรสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย สอดคล้องกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่ประเมินว่า หากเงินบาทแข็งขึ้นทุก 1 บาท ราคาส่งออกข้าวจะเพิ่มขึ้นอีกราว 15 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลให้ข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินเดียทันทีในสายตาผู้นำเข้า
การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังพบว่า การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทกับปริมาณการส่งออกข้าวไทยมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง (Correlation ราว 0.5) หากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องโดยไม่มีมาตรการบรรเทา ผู้ส่งออกไทยจะตั้งราคาได้ลำบากขึ้น ในขณะที่ตลาดโลกกำลังอยู่ในภาวะ “สงครามราคา” จากอุปทานส่วนเกิน
เวียดนามเร่งเกม “ข้าว Low Emission” ไทยยังตามไม่ทัน ESG
ท่ามกลางแรงกดดันด้านราคา เวียดนามเลือกเดินเกมต่างออกไปด้วยการพัฒนาข้าวตามแนวทาง ESG อย่างจริงจัง เปิดตัวแบรนด์ “Green & Low Emission Rice” เจาะตลาดญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมแผนพัฒนาเกษตรลดคาร์บอนในพื้นที่กว่า 1 ล้านเฮกตาร์ภายในปี 2573
ในภาคสนาม เกษตรกรเวียดนามเริ่มใช้เทคนิคอย่างการปลูกแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying – AWD) และการใช้โดรนพ่นปุ๋ย เพื่อลดการใช้น้ำและการปล่อยก๊าซมีเทน ตอบโจทย์เงื่อนไข Climate Action ที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนด
ฝั่งไทย แม้จะมีโครงการเกษตรยั่งยืนร่วมกับต่างประเทศ เช่น TGCP-Agriculture หรือความร่วมมือกับเอกชนอย่าง Olam Agri แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับโครงการนำร่อง ขาดการสcale-up และยังไม่ถูกพัฒนาเป็น “แบรนด์ข้าวไทยสาย ESG” ในระดับประเทศ
ในจังหวะที่ตลาดพรีเมียมให้ความสำคัญกับ ESG เป็นเงื่อนไขหลัก หากไทยยังไม่เร่งยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุตสาหกรรมข้าว ข้าวเวียดนามอาจไล่ชิงส่วนแบ่งตลาดมูลค่าสูงไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยยังติดกับดัก “ขายปริมาณราคาถูก”
โครงสร้างการผลิต จุดอ่อนลึกของข้าวไทย ผลิตได้น้อย ต้นทุนต่อกิโลสูง
จุดอ่อนที่ลึกไปกว่าราคา ค่าเงิน หรือดีมานด์ คือโครงสร้างการผลิตของเกษตรกรไทยเอง ปัจจุบันเกษตรกรไทยผลิตข้าวได้เฉลี่ยราว 458 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่เวียดนามผลิตได้ถึง 986 กิโลกรัมต่อไร่ แม้ต้นทุนต่อไร่ของทั้งสองประเทศจะใกล้เคียงกัน แต่เมื่อหารด้วยผลผลิตที่ต่างกันเกือบเท่าตัว ต้นทุนต่อกิโลกรัมของข้าวไทยจึงสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
สาเหตุหลักของผลผลิตต่อไร่ที่ยังต่ำ ได้แก่
- การใช้พันธุ์ข้าวที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาดและสภาพอากาศ
- การเข้าถึงน้ำชลประทานที่ไม่ทั่วถึง
- เทคโนโลยีการเพาะปลูกและการจัดการแปลงนาที่ล้าหลังเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
หากไทยไม่เร่งเพิ่มผลิตภาพต่อไร่ให้ใกล้เคียงมาตรฐานประเทศคู่แข่ง ข้าวไทยมีความเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและส่วนแบ่งตลาดในระยะยาว แม้ในบางช่วงราคาตลาดโลกจะฟื้นตัวก็ตาม
ทางรอดต้อง “ย้ายสนามแข่งขัน” จากขายถูกปริมาณมาก สู่ข้าวมูลค่าสูง
ท่ามกลางแรงกดดันจาก 6 ปัจจัยหลัก Krungthai COMPASS เสนอว่า ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้อง “ย้ายสนามแข่งขัน” ออกจากเกมขายปริมาณราคาถูก ไปสู่ตลาดที่ไทยมีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่มมากกว่าเดิม ผ่าน 4 แนวทางสำคัญ
1. จาก Mass Exporter สู่ Value Exporter
การขายข้าวจำนวนมากในราคาต่ำอาจไม่ใช่จุดแข็งของไทยอีกต่อไป โอกาสใหม่อยู่ที่การพัฒนาข้าวเฉพาะทาง เช่น
- ข้าว GI ผูกกับแหล่งปลูกและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
- ข้าวอินทรีย์
- ข้าวฟังก์ชันนัลที่ตอบโจทย์สุขภาพ
พร้อมสร้างแบรนด์และเรื่องราวให้ชัดเจน เพื่อยกระดับจากสินค้าโภคภัณฑ์ไปเป็นสินค้ามูลค่าสูง
2. เปิดตลาดใหม่ ลดพึ่งพาตลาดดั้งเดิม
ไทยควรลดการพึ่งพาตลาดที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น สหรัฐฯ หรือบางประเทศในเอเชียตะวันออก แล้วหันไปมองตลาดใหม่อย่างตะวันออกกลาง แอฟริกา และประเทศเกิดใหม่ในเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ที่มีความต้องการบริโภคสูงแต่ขาดโครงสร้างการผลิตในประเทศ เปิดโอกาสให้ไทยสร้างฐานลูกค้าระยะยาว
3. ร่วมมือเพิ่มผลผลิตต่อไร่ พัฒนาพันธุ์ข้าวเฉพาะพื้นที่
ผู้ส่งออก โรงสี และภาคเกษตรควรร่วมมือกันพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ทนแล้ง ทนน้ำเค็ม หรือใช้ระยะเวลาปลูกสั้น เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย และตอบโจทย์ดีมานด์เฉพาะทาง เช่น ข้าวหอมสำหรับตลาดตะวันออกกลาง หรือข้าวนึ่งที่เป็นที่นิยมในแอฟริกา
4. บทบาทใหม่ของรัฐ จากประกันราคา สู่การสร้างขีดความสามารถ
ภาครัฐยังเป็นตัวแปรสำคัญ Krungthai COMPASS เสนอให้รัฐขยับจากการพึ่งเครื่องมือระยะสั้นอย่างการประกันราคาข้าว ไปสู่การสร้างความสามารถแข่งขันในระยะยาวผ่าน
- การเจรจาการค้า เช่น FTA หรือข้อตกลงความมั่นคงทางอาหาร เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้ “ข้าวคุณภาพสูง” ของไทย
- การลงทุนวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวและเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ
- การสนับสนุนงบ R&D ให้เอกชนและสหกรณ์การเกษตร เพื่อยกระดับทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมข้าว
ในระยะสั้น ช่วงปี 2568–2569 อาจเป็นเวลาที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมข้าวไทยต้องเตรียมรับมือกับราคาตกต่ำและปริมาณส่งออกที่หดตัว แต่ในระยะยาว คำถามสำคัญคือ ไทยจะปรับตัวหลุดจากสนามแข่งขันเดิมที่ไม่เป็นธรรมกับศักยภาพของตัวเองได้เร็วเพียงใด หากข้าวไทยยังยืนอยู่ในบทบาท “ผู้ขายปริมาณราคาถูก” ในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่งและเงื่อนไขการค้า เกมนี้อาจไม่ใช่เกมที่ไทยชนะได้ง่ายอีกต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
