"ศุภจี" ปั้นข้าวไทย สู่แบรนด์ "ข้าวประณีต" ขายเรื่องราว-แหล่งที่มา เพิ่มมูลค่าเหมือนขาย "เมล็ดพันธุ์กาแฟ"

"ศุภจี" ปั้นข้าวไทย สู่แบรนด์ "ข้าวประณีต" เน้นขายเรื่องราว เพิ่มมูลค่าแหล่งที่มา เหมือนขายเมล็ดพันธุ์กาแฟ ยกระดับคุณภาพ ราคา
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ารัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าผลักดันให้เกษตรกรปรับมาปลูกข้าวคุณภาพสูงหรือ "ข้าวประณีต" เพื่อเพิ่มมูลค่า ลดแรงกดดันจากผลผลิตล้นตลาด และสร้างการรับรู้ใหม่ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความโดดเด่นของข้าวไทย เพื่อขยับบทบาทในการแข่งขันเชิงปริมาณไปสู่การแข่งขันเชิงคุณภาพ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่รัฐบาลใช้ในการดูแลผลผลิตข้าวผ่านนโยบาย "ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต" หรือ "New Rice Economy" จุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการผลิตทั้งระบบ
คำว่า "ข้าวประณีต" ถูกเลือกเพื่อนิยามข้าวที่มีคุณลักษณะเด่นชัด มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ทั้งด้านรสชาติ เนื้อสัมผัส วิธีปลูก และเรื่องราวแหล่งกำเนิด เป็นข้าวที่มีคุณค่าและมีความหมายมากกว่าข้าวบริโภคทั่วไป แม้ผู้บริโภคไทยจะคุ้นกับชื่อเพียงไม่กี่สายพันธุ์ เช่น หอมมะลิหรือสังข์หยด แต่ความจริงไทยยังมีพันธุ์พื้นเมืองอีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกนำเสนอ ข้าวแต่ละชนิดล้วนมีอัตลักษณ์ที่เกิดทั้งจากพันธุ์ ดิน น้ำ อากาศ และวิธีการดูแล กระทรวงพาณิชย์จึงเริ่มต้นตามหาและรวบรวมพันธุ์เหล่านี้ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรเบื้องต้น 200 กลุ่มเป็นต้นแบบการผลิตข้าวประณีต เพื่อสร้างฐานข้อมูลรสชาติ คุณสมบัติ และเรื่องราวของข้าวไทยอย่างเป็นระบบ เมื่อผู้ซื้อทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด ก็จะเกิดทางเลือกใหม่ในการนำข้าวไทยไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ
แนวคิดของข้าวประณีต เปรียบเทียบได้กับโมเดลของกาแฟพิเศษและไวน์ระดับโลก ที่ให้ความสำคัญกับต้นทางการผลิต การควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานระดับสากล กาแฟ specialty ต้องผ่านกระบวนการควบคุมทั้งสายพันธุ์ แหล่งปลูก และการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ขณะที่ไวน์ระดับพรีเมียมได้รับการจัดชั้นตามพื้นที่ปลูก องค์ประกอบ และอัตลักษณ์เฉพาะ
ข้าวประณีตจะถูกนำเสนอในลักษณะเดียวกัน โดยให้ผู้บริโภครู้ว่าข้าวชนิดใดเหมาะกับการบริโภคแบบไหน มีคุณค่าต่อสุขภาพอย่างไร หรือสามารถต่อยอดเป็นวัตถุดิบสินค้าเกษตรนวัตกรรมรูปแบบใด เมื่อนิยามคุณลักษณะชัดเจน ระบบการจำแนกชั้นและกำหนดราคาใหม่จะทำได้ง่ายขึ้น และทำให้ผู้บริโภคพร้อมจ่ายในระดับที่สูงขึ้นตามคุณภาพและคุณค่าของสินค้า
สำหรับการรวบรวมข้อมูลสายพันธุ์พื้นเมืองถูกดำเนินการโดย Rice Hub ร่วมกับสมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย (TDeD) โดยพบว่าหลายพื้นที่ เช่น สกลนคร มีการอนุรักษ์และปลูกข้าวพื้นเมืองเป็นจำนวนมาก ข้าวพื้นเมืองเหล่านี้ถูกเก็บข้อมูลกว่า 300 สายพันธุ์แล้ว และอยู่ระหว่างทำข้อมูลดิจิทัลเพื่อให้ผู้ซื้อรู้ว่าข้าวรสชาติแบบไหน นุ่มหรือแข็ง กลิ่นหอมแบบใด เหมาะกับอาหารชนิดไหน และมีคุณลักษณะพิเศษอย่างไร การนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเช่นนี้จะช่วยให้ตลาดมองเห็นคุณค่าของข้าวไทยมากขึ้น ขยายทางเลือกที่มากกว่าข้าวขาวทั่วไป
ด้านตลาดส่งออก รัฐมนตรีพาณิชย์ระบุว่า ทูตพาณิชย์ 58 แห่งทั่วโลกจะต้องประสานความต้องการของแต่ละประเทศให้ชัดเจนขึ้น ว่าตลาดต้องการข้าวลักษณะใด แล้วนำเสนอข้าวประณีตให้เป็นตัวเลือก การขายข้าวไทยต่อจากนี้ต้องเน้น “ความแตกต่าง” ไม่ใช่ “ความถูก” โดยจะเน้นสื่อสารเรื่องคุณค่าทางอาหาร เทรนด์สุขภาพ เช่น โปรไบโอติก ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หรือการปลูกแบบอินทรีย์ที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นความต้องการหลักของตลาดบนทั่วโลก
โครงการข้าวประณีตจะขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ พาณิชย์จังหวัด ภาคเอกชน Rice Hub และ TDeD ซึ่งแต่ละชุมชนจะได้รับคำแนะนำว่าเหมาะปลูกข้าวชนิดใด พร้อมทดลองปลูกพันธุ์ใหม่ ลดใช้สารเคมี หรือปรับวิธีดูแล เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ ขณะเดียวกันจะเชื่อมโยงตลาดให้ทั้งในและต่างประเทศ เช่น โมเดิร์นเทรด โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ส่งออก พร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์จำเป็น เช่น เครื่องสีข้าว เครื่องตรวจความชื้น และการทำบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ชุมชนเปลี่ยนจากการขายข้าวเปลือกไปสู่การขายข้าวสารคุณภาพด้วยตัวเอง เพิ่มอำนาจต่อรองและรายได้ในภาพรวม
"ข้าวประณีต" คือ ทางรอด การส่งออก "ข้าวไทย" เป็นแกนหลักของการเล่าเรื่องใหม่ สู้กับ "เวียดนาม" คู่แข่งรายสำคัญ
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ประเทศไทยผลิตข้าวปีละราว 27 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นข้าวสารประมาณ 16 ล้านตัน ส่งออกครึ่งหนึ่งและบริโภคในประเทศอีกครึ่งหนึ่ง ทว่าในฤดูกาล 2568/69 มีผลผลิตส่วนเกินที่ต้องบริหารจัดการถึงกว่า 3 ล้านตัน แม้รัฐบาลจะออกมาตรการพยุงราคา ทั้งสินเชื่อชะลอขาย สินเชื่อรวบรวมข้าว ชดเชยดอกเบี้ยโรงสี รวมถึงให้ อคส. อ.ต.ก. และ ธ.ก.ส. เข้าซื้อเพื่อพยุงตลาด แต่ปริมาณผลผลิตที่มากขึ้นยังสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างราคาโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ผลผลิตนาปีเริ่มออกสู่ตลาดต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ราคาข้าวหลายชนิดขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุดวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ระบุว่า ข้าวเปลือกหอมมะลิซื้อขายที่ 15,300–17,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 13,000–16,300 บาทต่อตัน ข้าวเจ้า 6,500–7,800 บาทต่อตัน ข้าวปทุมธานี 8,700–9,200 บาทต่อตัน และข้าวเหนียวยาว 8,700–12,400 บาทต่อตัน สะท้อนว่านโยบายแทรกแซงที่ผ่านมาเริ่มเห็นผล แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับโครงสร้างส่วนเกินในระยะยาว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตอนตนเองรับตำแหน่งในเดือนกันยายน มีการประเมินว่าปีนี้ไทยจะผลิตข้าวประมาณ 25.3 ล้านตัน แต่ตัวเลขจริงกลับเพิ่มเป็นราว 27 ล้านตัน ส่งผลให้สต็อกส่วนเกินเพิ่มจากเดิมประมาณ 1.8 ล้านตันเป็นมากกว่า 3 ล้านตัน รัฐบาลจึงต้องคิดมาตรการเพิ่มเติม เพราะระบบการผลิตปัจจุบันพึ่งพาการส่งออกมากเกินไปและอาจไม่ยั่งยืน หากยังสู้กันด้วยราคาหรือปริมาณ ทั้งที่ไทยมีข้อจำกัดเรื่องต้นทุนและพื้นที่เพาะปลูก
สำหรับในเชิงประสิทธิภาพ เวียดนามผลิตข้าวได้มากกว่า 1,200–1,500 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ไทยได้เพียงประมาณ 600 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งที่ต้นทุนด้านน้ำ ปุ๋ย และสารเคมีไม่ต่างกันมาก ความสามารถแข่งขันด้านราคาจึงตามคู่แข่งได้ยาก
รัฐบาลจึงต้องเร่งเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และหันมาสร้างความหลากหลายของข้าวไทยที่มีศักยภาพสูง สอดคล้องความต้องการของตลาดมากกว่าเดิม แนวคิดนี้เป็นฐานสำคัญของ "New Rice Economy" ที่จะใช้จุดแข็งเรื่องความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวไทย ซึ่งมีมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดโลก
แม้ข้าวหอมมะลิจะขายได้หมดทุกปี ปริมาณราว 6 ล้านตันและให้ราคาดีขึ้น แต่ข้าวประเภทอื่นยังต้องการการยกระดับ คุณภาพข้าวไทยต้องถูกพัฒนาตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ กระบวนการเก็บเกี่ยว การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ ไปจนถึงการทำตลาด เมื่อแข่งขันด้วยปริมาณไม่ได้ การแข่งขันด้วยคุณภาพและเรื่องราวจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญ นำไปสู่แนวคิด "ข้าวประณีต" ซึ่งจะเป็นแกนหลักของการเล่าเรื่องใหม่ให้ข้าวไทย
ความร่วมมือเหล่านี้เริ่มเห็นรูปธรรมในงาน Thailand Rice Face ระหว่างวันที่ 4–7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่ให้ผู้ผลิตนำร่องจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อรายใหญ่ และจะจัดอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายตลาด ข้าวประณีตไม่เพียงเป็นการยกระดับสินค้าเกษตร แต่ยังเป็นการสร้างทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมข้าวไทย ที่เน้นการขายคุณภาพและเรื่องราวมากกว่าการขายราคาถูก เป็นความพยายามผลักดันให้ไทยหลุดจากการแข่งขันเชิงปริมาณที่ไม่ยั่งยืน และสร้างทางรอดใหม่ให้เกษตรกรรุ่นต่อไป ผ่านการยกระดับมูลค่าข้าวที่เคยถูกมองว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่การเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเหมือนซื้อกาแฟหรือไวน์คุณภาพสูงในตลาดโลก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
