รีเซต

KCGผู้นำเนย-ชีส Q1กำไรโต81%

KCGผู้นำเนย-ชีส Q1กำไรโต81%
ทันหุ้น
2 สิงหาคม 2566 ( 20:03 )
132

KCG พร้อมผงาด SET เสริมแกร่งธุรกิจก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก รายใหญ่ของประเทศไทย ลุยอัพกำลังการรผลิต ดีลร่วมทุน-ซื้อกิจการต่อยอดธุรกิจ อวดผลงานไตรมาส 1/2566 กำไรพุ่ง 81.4% ที่ 58.4 ล้านบาท มีรายได้1,723 ล้านบาท โบรกเคาะพื้นฐาน 12.00-14.60 บาท

 

ดร.วาทิต  ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของ KCG โดยมีแผนขยายการลงทุนเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิต การสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ

 

เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารอย่างมีคุณภาพ ตลอดจนการจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

ทั้งนี้ บริษัทได้วางกรอบการลงทุนระหว่างปี 2566-2567 โดยจะขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) และเนยเพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี และ 23,261 ตันต่อปีตามลำดับ นอกจากนี้ KCG ยังมุ่งสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยมุ่งเน้นในธุรกิจที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัท อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบไขมันนม ชีส น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพิ่มความสามารถในการจัดหาและบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

 

*โค้งแรกกำไรพุ่ง 81%

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 58.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.2 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.4% มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย และความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

โดยมีรายได้รวมที่ 1,723.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,319.7 ล้านบาท มาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ทุกประเภท ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ของสินค้าบางประเภทให้เล็กลง ส่งผลให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกประเภท และจากทั้งช่องทางการขายให้ผู้บริโภค (B2C) และช่องทางการขายให้ผู้ประกอบการ (B2B)

 

ขณะที่ไตรมาส 1/2566 บริษัทมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นเป็น 1,247.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.7% จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนการนำเข้าสินค้า จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบของสินค้าโภคภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบดังกล่าวในตลาดโลก ซึ่งประบตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2565 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 27.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 30.7%

 

*พื้นฐาน 12-14.60 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง KCG ว่า ประเมินกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติปี 2566 คาดว่าอยู่ที่ 326 ล้านบาท หรือเติบโต 64% จากปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2567 คาดอยู่ที่ 401 ล้านบาท โต 23% ส่วนกำไรสุทธิปี 2568 คาดอยู่ที่ 473 ล้านบาท โต 18% จากปีก่อน การเติบโตของกำไรมาจากการเติบโตของสินค้าเดิม สินค้าใหม่ ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และการขยายกำลังการผลิต

 

ขณะที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ KCG ที่ 6,518-7,936 ล้านบาท หรือเทียบเป็นราคา 12.0-14.60 บาทต่อหุ้น โดยอิงวิธีการประเมินมูลค่ากิจการแบบ DCF และ PEG เลือกวิธี PEG เนื่องจากสะท้อนการเติบโตของ KCG ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าที่มีแผนงานรองรับการเติบโตอย่างชัดเจน โดยใช้ PEG ที่ 0.80-0.97 เท่า (ค่าเฉลี่ยของบริษัทในอุตสาหกรรมอาหาร ขนม และเบเกอรี่) เมื่อนำไปคิดกับ KCG EPS ปี 2567 ที่ 0.74 บาทต่อหุ้น (ใช้ปี 2567 เนื่องจากเป็นปีที่มีการเติบโตอย่างเสถียร)

 

และการเติบโตของกำไร CAGR ปี 2566-2568 ที่ 20.3%  ได้มูลค่าพื้นฐานจากวิธี PEG (Bull to Bear Case) ที่ 12.0-14.60 บาท คิดเป็น Implied PER ที่ 16.3-19.8 เท่า สำหรับ PEG Base Case ที่ 0.89 เท่า ได้มูลค่าพื้นฐาน 13.30 บาท คิดเป็น Implied PER ที่ 18.1 เท่า และเมื่อได้พิจารณาปัจจัยด้านการเติบโตของกำไร อัตรากำไรสุทธิ และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น มองว่าสมเหตุสมผลสำหรับมูลค่าพื้นฐานในกรณี Base Case สำหรับมูลค่าพื้นฐานที่ได้จากวิธีประเมินมูลค่าแบบ DCF ได้มูลค่าพื้นฐานที่ 6,548 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในช่วง PEG Bear to Bull Case เช่นกัน

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง