"บัตรทองจะล่ม" จริงหรือ? ถอดรหัสต้นทุน ‘รักษาฟรี’ ที่รพ.รัฐกำลังบอกว่า ‘ไม่ไหวแล้ว’

4 ข้อสำคัญ วิกฤตระบบ "รักษาฟรี" ที่ทุกคนต้องรู้
1. วิกฤตการเงินขนาดใหญ่
โรงพยาบาลรัฐ 309 แห่งจาก 902 แห่ง (34.3%) ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ขาดทุนรวม 4,219.4 ล้านบาท ในไตรมาสแรก 2568 โดยโรงพยาบาลขอนแก่นขาดทุนสูงสุด 848.33 ล้านบาท เงินกองทุนลดจาก 80,000 ล้านบาทเหลือ 40,000 ล้านบาท
2. ช่องว่างค่าชดเชยร้ายแรง
ต้นทุนการรักษาจริง 13,000-23,000 บาทต่อราย แต่ สปสช.จ่ายค่าชดเชยเพียง 8,350 บาทต่อราย เกิดช่องว่าง 4,650-14,650 บาทต่อผู้ป่วย ขณะที่สิทธิข้าราชการได้รับ 13,500 บาท ต่างกันถึง 61.7% แสดงความไม่เป็นธรรมในระบบ
3. ผลกระทบเริ่มส่ายระบบ
โรงพยาบาลขาดแคลนบุคลากร ลดบริการ ไม่สามารถรักษาโรคที่ไม่อยู่ในบัญชี สปสช. เช่น การใส่สายสวนสมอง (หลักแสนบาท) หรือยารักษาจอตาเบาหวาน 82 โรงพยาบาล ไม่ได้รับเงินค่ารักษา 119 ล้านบาท จากปัญหาเอกสาร
4. ทางออกต้องปฏิรูปใหญ่
สปสช.ยืนยันระบบไม่ล่ม แต่ยอมรับต้องปรับปรุง เสนอเพิ่มงบรายหัวเป็น 3,500-4,000 บาทต่อคนต่อปี และค่าชดเชยผู้ป่วยในเป็น 12,000-15,000 บาทต่อราย หาเงินใหม่จากภาษีบุหรี่-เหล้า (+20,000 ล้านบาท/ปี) และระบบร่วมจ่ายสมัครใจ
-----------------------------------------------
รากฐานของ "รักษาฟรี" กำลังทรุดโทรม?
ภายใต้ภาพลักษณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย กำลังซ่อนเร้นวิกฤตการณ์ทางการเงินที่อาจทำลายรากฐานของระบบ "รักษาฟรี" ที่ประชาชนเคยคุ้นเคย คำเตือนจากแพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลทั่วประเทศเริ่มดังขึ้น "อีก 3 ปีระบบจะล่มสลาย" หากไม่มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่
ความจริงที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบก็คือ โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งกำลังเผชิญปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรง ในขณะที่ผู้ป่วยยังคงได้รับการรักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ต้นทุนที่แท้จริงกลับสูงกว่าค่าชดเชยที่โรงพยาบาลได้รับจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างมีนัยสำคัญ
สัญญาณเตือนจากแพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาล
เมื่อนายแพทย์วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความเตือนภัยผ่านโซเชียลมีเดียถึงความยั่งยืนของระบบสาธารณสุขไทย หลายคนอาจมองว่าเป็นการวิเคราะห์เชิงอนาคต แต่เมื่อพิจารณาตัวเลขจากรายงานทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐ จะเห็นข้อมูลที่แสดงถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นจริง
รายงานสถานการณ์ทางการเงินของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในไตรมาสแรกของปี 2568 แสดงให้เห็นว่า โรงพยาบาลรัฐจำนวน 218 แห่ง จากทั้งหมด 902 แห่งทั่วประเทศ มีเงินบำรุงติดลบ คิดเป็นสัดส่วน 24.2% ของโรงพยาบาลรัฐทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลอีก 91 แห่ง หรือ 10.1% ที่มีเงินบำรุงคงเหลือต่ำกว่า 5 ล้านบาท
เมื่อรวมตัวเลขทั้งสองกลุ่ม พบว่าโรงพยาบาลรัฐ 309 แห่ง หรือ 34.3% กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการบริการและความมั่นคงของระบบสุขภาพในระยะยาว
ภาพรวมตัวเลขขาดทุนที่เพิ่มขึ้น
เงินบำรุงติดลบรวมของโรงพยาบาลรัฐทั้งประเทศในไตรมาสแรกสูงถึง 4,219.4 ล้านบาท โดยโรงพยาบาล 10 อันดับแรกที่มีเงินบำรุงติดลบมากที่สุด มียอดรวม 1,917.87 ล้านบาท คิดเป็น 45.4% ของยอดติดลบทั้งหมด
รายการโรงพยาบาลที่มีเงินบำรุงติดลบสูงสุด ประกอบด้วย โรงพยาบาลขอนแก่น 848.33 ล้านบาท โรงพยาบาลชัยภูมิ 180.02 ล้านบาท โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 147.45 ล้านบาท โรงพยาบาลระนอง 123.49 ล้านบาท โรงพยาบาลฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 117.77 ล้านบาท โรงพยาบาลบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี 113.84 ล้านบาท โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ 108.08 ล้านบาท โรงพยาบาลสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ 102.92 ล้านบาท โรงพยาบาลพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี 102.12 ล้านบาท และโรงพยาบาลปากช่องนานา จังหวัดนครราชสีมา 73.82 ล้านบาท
ข้อมูลเดือนเมษายน 2568 เผยให้เห็นอีกว่า มีโรงพยาบาลถึง 82 แห่งที่ไม่ได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วยใน จากการเรียกเก็บ 119 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากปัญหาด้านเอกสารและการปฏิบัติตามระเบียบต่างๆ
ช่องว่างระหว่างต้นทุนจริงกับค่าชดเชย
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ เทียมเก่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดเผยข้อมูลต้นทุนจากประสบการณ์จริงว่า ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยในของโรงพยาบาลศรีนครินทร์อยู่ที่ประมาณ 22,000 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จ่ายค่าชดเชย 8,350 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์
ข้อมูลเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่า การรักษาผู้ป่วยโรคเดียวกันในระบบสิทธิต่างๆ ได้รับค่าชดเชยที่แตกต่างกัน หากเป็นสิทธิข้าราชการจะได้รับค่าชดเชย 13,500 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ ขณะที่สิทธิบัตรทองได้รับ 8,350 บาท ต่างกัน 5,150 บาท หรือคิดเป็น 61.7%
การศึกษาต้นทุนจากหลายโรงพยาบาลชี้ให้เห็นว่า ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยในโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 13,000-23,000 บาทต่อราย ขึ้นอยู่กับระดับของโรงพยาบาลและความซับซ้อนของการรักษา ในขณะที่อัตราค่าชดเชยจาก สปสช.อยู่ที่ 8,350 บาท และในช่วงที่งบประมาณไม่เพียงพอ อาจได้รับเพียง 7,100 บาท
โครงสร้างงบประมาณที่แตกต่างกัน
การจัดสรรงบประมาณของ สปสช.แบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก งบประมาณสำหรับการรักษาผู้ป่วยในใช้ระบบ "ปลายปิด" หรือ Global Budget ซึ่งมีวงเงินกำหนดไว้ล่วงหน้าและไม่สามารถเบิกเกินได้ ในขณะที่หน่วยบริการนวัตกรรมต่างๆ ใช้ระบบ "ปลายเปิด" ที่สามารถเบิกจ่ายตามปริมาณการให้บริการจริง
นายแพทย์อนุกูล ไทยถานันดร์ อดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ได้ยกประเด็นที่ทำให้หลายคนต้องหยุดคิด ด้วยการตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า การบริหารงบประมาณของ สปสช.ในปัจจุบันอาจขาดประสิทธิภาพหรือแม้กระทั่งผิดวัตถุประสงค์หลักของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545
สิ่งที่นายแพทย์อนุกูล ชี้ให้เห็นคือความขัดแย้งในการจัดสรรงบประมาณ โดยเขาแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 4 กลุ่มตามความรุนแรง กลุ่มแรกคือคนที่ยังไม่ป่วย เน้นส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ได้งบแบบปลายปิด กลุ่มที่สองคือผู้ป่วยเล็กน้อยที่ไปรับยาที่ร้านยาหรือคลินิกได้ สปสช.จัดหน่วยบริการนวัตกรรมให้ด้วยงบมหาศาลแบบปลายเปิด แต่กลุ่มที่สามซึ่งเป็นผู้ป่วยปานกลางถึงหนักที่ต้องนอนโรงพยาบาลหรือเข้าไอซียู กลับได้งบแบบ "ปลายปิดแบบปิดสนิท" ที่จำกัดอย่างเข้มงวด
ตัวเลขจากปี 2568 แสดงความไม่สมดุลนี้อย่างชัดเจน หน่วยบริการนวัตกรรม 7 ประเภท ได้รับงบประมาณ 1,521.61 ล้านบาท จากงบบริการปฐมภูมิและนวัตกรรมรวม 2,180.23 ล้านบาท คิดเป็น 69.8% โดยแบ่งเป็นคลินิกการพยาบาล 509 ล้านบาท ร้านยา 492 ล้านบาท และคลินิกเทคนิคการแพทย์ 289 ล้านบาท ในขณะที่งบสำหรับผู้ป่วยในทั้งประเทศถูกจำกัดที่ 8,350 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ ทั้งที่ต้นทุนจริงอยู่ที่ 13,000-23,000 บาทต่อราย
ผลที่ตามมาคือโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยบัตรทองกว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ข้อมูลเดือนมีนาคม 2568 แสดงว่า โรงพยาบาลติดลบ 218 แห่ง จาก 902 แห่ง คิดเป็น 24.2% และอีก 91 แห่งเงินเหลือน้อยกว่า 5 ล้านบาท รวมแล้วมีโรงพยาบาลเสี่ยงปัญหาสภาพคล่อง 309 แห่ง หรือ 34.3% นายแพทย์อนุกูล จึงท้าทายให้ สปสช.ลองจัดตั้งโรงพยาบาลและบริหารเองดู เพื่อให้เข้าใจความยากลำบากในการรักษาคนไข้ด้วยงบที่น้อยกว่าต้นทุนจริงแต่ยังต้องรักษามาตรฐานการรักษา
ระบบชดเชยที่ยังไม่ทันสมัย
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือระบบการคำนวณค่าชดเชยที่อาจยังไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีการรักษาปัจจุบัน ระบบ DRG และ Fee Schedule ที่ใช้อยู่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการแพทย์และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ที่มีต้นทุนจริงสูงถึง 350,000 บาท เนื่องจากต้องใช้ยาเฉพาะทางที่มีราคาแพง แต่ระบบ DRG จ่ายค่าชดเชยเพียง 72,000 บาท ทำให้เกิดช่องว่างในการชดเชยสูงถึง 278,000 บาทต่อผู้ป่วยหนึ่งราย
อัตราค่าบริการใน Fee Schedule หลายรายการมีค่าต่ำกว่าต้นทุนจริง 30-50% และไม่ได้รับการปรับปรุงมาเป็นเวลานาน ในขณะที่ต้นทุนยา เวชภัณฑ์ และค่าจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5-10% ต่อปี
ผลกระทบต่อการให้บริการ เมื่อโรงพยาบาลเริ่มไม่ไหว
สถานการณ์ทางการเงินที่ตึงเครียดเริ่มส่งผลต่อการดำเนินงานของโรงพยาบาลอย่างเป็นรูปธรรม โรงพยาบาลที่ขาดสภาพคล่องรุนแรงประสบปัญหาในการจ้างบุคลากรเพิ่ม โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงาน หลายแห่งต้องชะลอการเปิดรับสมัครตำแหน่งใหม่ หรือไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่แข่งขันได้กับภาคเอกชน ผลที่ตามมาคือการลาออกของบุคลากรเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการขาดแคลนกำลังคนในขณะที่ปริมาณผู้ป่วยยังคงเดิม
ปัญหาที่รุนแรงขึ้นคือการต้องปรับลดบริการบางประเภท หรือเผชิญการขาดแคลนเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ เนื่องจากงบประมาณไม่เพียงพอ ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากการแข่งขันในตลาดแรงงานและต้นทุนการดำรงชีวิตที่สูงขึ้น ขณะที่การปรับอัตราค่าตอบแทนจากภาครัฐไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง ทำให้โรงพยาบาลต้องใช้เงินบำรุงส่วนตัวเพื่อรักษาบุคลากรไว้
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ เทียมเก่า ยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงว่า การรักษาที่จำเป็นต่อชีวิตแต่ไม่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แม้แพทย์จะประเมินแล้วว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง สปสช.ก็ไม่สามารถจ่ายชดเชยได้ เช่น การใส่สายสวนรักษาภาวะหลอดเลือดในสมองผิดปกติแต่กำเนิด ซึ่งอุปกรณ์หลายอย่างมีค่าใช้จ่ายหลักแสนบาทต่อราย หรือการฉีดยารักษาจอประสาทตาเสื่อมจากโรคเบาหวานที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาชนิดแรก ซึ่งถึงแม้จะมีความสำคัญต่อชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แต่โรงพยาบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเองโดยไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ และ สปสช.ยังห้ามการเก็บเงินร่วมจ่ายจากผู้ป่วยด้วย
การตอบสนองจาก สปสช. ยืนยันระบบไม่ล่มสลาย
เมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้น นายอรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.ในฐานะโฆษก ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการว่า ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก และยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไม่ได้อยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญเสียความมั่นคง นายอรรถพรเน้นว่าระบบนี้ได้รับการยกย่องจากนานาประเทศและเป็นผลงานที่รัฐบาลนำไปเสนอในเวทีระดับโลกมาโดยตลอด ประเทศไทยยังเป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศที่กำลังจะพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ
สปสช.ออกมาชี้แจงประเด็นที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดเรื่องอัตราการจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยใน โดยยืนยันว่าอัตราจ่ายยังคงอยู่ที่ 8,350 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ และจะเสนอขอรับงบประมาณเพิ่มเติมหากจำเป็น ไม่มีการปรับลดเหลือ 7,100 บาทอย่างแน่นอน การใช้งบประมาณปลายปิดเป็นไปตามแนวทางวิชาการของการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพ ซึ่งประเทศอื่นๆ ที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็ใช้หลักการเดียวกันเพื่อความยั่งยืนของระบบ นอกจากนี้ยังชี้แจงว่าหากปีใดมีเงินเหลือ ก็จะโอนเพิ่มให้โรงพยาบาลเช่นกัน
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาระยะยาว สปสช.ระบุว่าจะทำข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาศึกษาอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐ เพื่อให้ได้ทราบข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลและสามารถคำนวณเป็นอัตราจ่ายที่เหมาะสมในการให้บริการต่อไป นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบการบันทึกตัวเลขทางบัญชีไม่ถูกต้องประมาณ 7,000 ล้านบาท หากมีการแก้ไขตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้
แนวทางแก้ไขที่เสนอ หาเงินเพิ่มและปรับระบบ
ผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนได้เสนอแนวทางแก้ไขที่ต้องดำเนินการพร้อมกันหลายมิติ ประการแรกคือการปรับอัตราค่าชดเชยให้ตรงกับต้นทุนจริง โดยเพิ่มงบประมาณรายหัวจาก 2,767 บาทต่อคนต่อปี เป็น 3,500-4,000 บาทต่อคนต่อปี ภายใน 3 ปี และปรับอัตราค่าชดเชยผู้ป่วยในจาก 8,350 บาทต่อหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ เป็น 12,000-15,000 บาทต่อหน่วย เพื่อลดช่องว่างระหว่างต้นทุนจริงกับค่าชดเชยที่ได้รับ ขณะที่ต้องตั้งคณะกรรมการกลางที่เป็นอิสระมาศึกษาต้นทุนจริงของการรักษาในแต่ละระดับของโรงพยาบาล
ปัญหาเรื่องเงินต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมจากหลายช่องทาง การปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตบุหรี่และเหล้าเป็นทางเลือกแรกที่อาจสร้างรายได้เพิ่มปีละ 20,000 ล้านบาท การพิจารณาเก็บภาษีสุขภาพจากกลุ่มรายได้สูงที่มีรายได้เกิน 50,000 บาทต่อเดือน หรือการออกพันธบัตรสุขภาพระยะยาวให้ประชาชนซื้อเพื่อสนับสนุนระบบ ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยใช้งบสาธารณสุขเพียง 4.1% ของ GDP ต่ำกว่าญี่ปุ่น 10.9% และค่าเฉลี่ยประเทศ OECD ที่ 8.8% แสดงว่ายังมีพื้นที่ในการเพิ่มงบประมาณด้านสุขภาพได้อีกมาก
อีกทางเลือกหนึ่งคือการพิจารณาระบบ "ร่วมจ่ายสมัครใจ" สำหรับกลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เช่น ผู้ที่มีรายได้ดีอาจต้องจ่ายเพิ่ม 30-50 บาทต่อครั้งที่มาหาหมอ หรือจ่ายร่วม 20-30% สำหรับบริการพิเศษที่ต้องการความรวดเร็วหรือเทคโนโลยีสูง โดยยกเว้นผู้ยากไร้ ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง ให้รักษาฟรีเหมือนเดิม ตัวอย่างจากญี่ปุ่นที่มีระบบร่วมจ่าย 10-30% แต่มีเพดานรายปีตามรายได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระมากเกินไป แนวคิดนี้ช่วยเพิ่มรายได้เข้าสู่ระบบและลดภาระรัฐ โดยยังคงหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ภาพอนาคตและความท้าทาย ระหว่างรักษาฟรีกับความยั่งยืน
การคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในวันนี้ หากไม่มีการปรับโครงสร้างที่เหมาะสม อาจส่งผลต่อความยั่งยืนของระบบที่ประชาชนคุ้นเคย สัญญาณเตือนชัดเจนคือการที่เงินกองทุนลดลงจาก 80,000 ล้านบาทหลังช่วงโควิด เหลือประมาณ 40,000 ล้านบาทในปัจจุบัน แสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าห่วงและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากสถานการณ์ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับปรุง อาจรวมถึงการที่โรงพยาบาลต้องลดบริการ การรอคิวที่นานขึ้น การสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไปยังภาคเอกชน หรือในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด โรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจต้องปิดตัวหรือลดบริการลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยยังคงเป็นความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและเป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศ ระบบนี้มีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมาตลอด 22 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การหาสมดุลระหว่างการให้บริการที่มีคุณภาพ ความยั่งยืนทางการเงิน และการเข้าถึงที่เป็นธรรม จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาล สปสช. หรือโรงพยาบาล แต่รวมถึงประชาชน นักวิชาการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ในการร่วมกันหาทางออกที่จะทำให้ระบบ "รักษาฟรี" สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยยังคงหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน
ในท้ายที่สุด คำถามที่ทุกคนต้องตอบร่วมกันคือ เราต้องการระบบ "รักษาฟรี" ที่ยั่งยืนหรือระบบที่ฟรีแต่ไม่มีคุณภาพ การตัดสินใจในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า ลูกหลานของเราจะได้รับการดูแลสุขภาพอย่างไรในอนาคต และระบบที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยจะคงอยู่หรือจะกลายเป็นเพียงความทรงจำในประวัติศาสตร์
อ้างอิง
- ประมาณการค่าใช้จ่ายสาธารณะด้านสุขภาพในอีก 15 ปีข้างหน้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
- https://www.hfocus.org/content/2014/07/7731 นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ
- ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.
- รายงานสถานการณ์ทางการเงินของหน่วยบริการสังกัด สป. กระทรวงสาธารณสุข กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2568 ไตรมาส 1