รีเซต

7 วันชี้ชะตา วิฤต "ลุ่มเจ้าพระยา" กรำศึก 2 ด้าน น้ำเหนือ-ทะเลหนุน

7 วันชี้ชะตา วิฤต "ลุ่มเจ้าพระยา" กรำศึก 2 ด้าน น้ำเหนือ-ทะเลหนุน
TNN ช่อง16
13 พฤศจิกายน 2568 ( 18:19 )

เปิดแนวทางรับมือ “วิกฤตลุ่มเจ้าพระยา”

ท่ามกลางสถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยาที่ทะลักเข้าเต็มพื้นที่ภาคกลางทั้งสิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยายังยกประตูเขื่อน เพิ่มการระบายอยู่ที่ 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อเร่งระบายมวลน้ำทางตอนเหนือ 

หน่วยงานด้านน้ำต้องเร่งประสานทุกระบบชลประทาน เพื่อบริหารจัดการมวลน้ำมหาศาลให้ผ่านพ้นพื้นที่วิกฤตโดยไม่สร้างความเสียหายเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำต่างชี้ว่าการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาทองในการระบายน้ำก่อนน้ำทะเลหนุน คือปัจจัยชี้ชะตาว่าลุ่มเจ้าพระยาจะรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่ 


ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เปิดเผยว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ โดยกรมชลประทานกำลังบริหารจัดการน้ำจากภาคเหนือ ปิง วัง ยม น่าน ที่ไหลมาบรรจบกันที่นครสวรรค์ ก่อนลงสู่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท

“ตอนนี้เราคงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประมาณ 5–7 วัน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างน้ำเหนือกับน้ำในพื้นที่ตอนล่าง หากประเมินแล้วว่าปริมาณน้ำเหนือเริ่มลดลง ก็จะทยอยปรับลดการระบายลงตามลำดับ” ดร.ธเนศร์ กล่าว

ปัจจุบันมีการระบายน้ำเข้าสู่ระบบชลประทานรวม 55 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยเน้นการผันน้ำเข้าสู่ระบบทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ส่วนฝั่งตะวันออกใช้คลองชัยนาท–ป่าสัก และคลองชัยนาท–อยุธยา ส่วนฝั่งตะวันตกผันผ่านปากคลองมะขามเฒ่า–อู่ทอง แม่น้ำน้อย และแม่น้ำท่าจีน ซึ่งขณะนี้เดินเต็มศักยภาพแล้ว

อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องผันน้ำเข้าทุ่งเกษตรกรรม กรมชลประทานจะต้องเจรจาและขออนุญาต จากเจ้าของพื้นที่ก่อน เพราะหลายจุดไม่ใช่ทุ่งรับน้ำตามแผน โดยอาจนำน้ำเข้าเพียงระดับ 20–30 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้เสียหาย และยังสามารถเก็บน้ำไว้ใช้ทำนาปรังในฤดูแล้งได้ด้วย

ดร.ธเนศร์ ย้ำว่าสถานการณ์น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้ว การบริหารจัดการน่าจะเป็นไปตามแผน แต่ยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ของแม่น้ำปิงที่รับการระบายจากเขื่อนภูมิพล  เพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญของสถานการณ์น้ำที่บริเวน จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา 




ด้าน นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทยมองว่าสถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยายังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะมวลน้ำหลายก้อนจากภาคเหนือกำลังทยอยไหลลงมาต่อเนื่องในลักษณะขบวนรถไฟ

“มวลน้ำก้อนใหญ่และก้อนสุดท้ายยังอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ขณะที่มวลน้ำที่ไหลลงมาก่อนหน้ายังอยู่ในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มเจ้าพระยา โดยเฉพาะนครสวรรค์ อ่างทอง และอยุธยา” นายชวลิต กล่าว

นอกจากต้องเร่งระบายน้ำจากทางเหนือแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการคือน้ำทะเลหนุน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงสู่อ่าวไทย โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า น้ำทะเลจะหนุนสูงต่อเนื่องถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 โดยจะมีช่วงที่น้ำทะเลลดลงเพียง 3 วัน คือ วันที่ 16–18 พฤศจิกายน  จึงเป็นโอกาสทองที่ต้องเร่งระบายน้ำออกจากลุ่มเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด ก่อนที่น้ำทะเลจะกลับมาหนุนสูงอีกครั้งในวันที่ 19 พฤศจิกายน

หากไม่มีอะไรผิดพลาดนายชวลิต เชื่อว่าสถานการณ์จะเริ่มทรงตัว และจะค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นบางพื้นที่อาจจะต้องอยู่กับย้ำไปจนถึงช่วงเดือนธันวาคม 

ทั้งนี้นายชวลิตเตือนว่า แม้การบริหารน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ในแผนควบคุมน้ำให้อยู่เฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ หรือ แก้มลิง 10 แห่งแต่บางชุมชนยังต้องเผชิญระดับน้ำที่สูงเทียบเท่าปี 2554 โดยเฉพาะพื้นที่อ่างทอง อยุธยา และตอนล่างของสุพรรณบุรี–นครปฐม ที่จะมีน้ำท่วมยาวไปถึงกลางเดือนธันวาคม

โดยสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ พนังกั้นน้ำชั่วคราว ซึ่งต้องรับแรงดันน้ำต่อเนื่อง อาจ “อ่อนตัว” หรือ พังได้ หากไม่ได้รับการเสริมกำลังทันเวลา

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง