บอร์ดตีกลับ THAI แผนเช่าเครื่องบิน เสี่ยงกดรายได้วูบ

#THAI #ทันหุ้น - บอร์ดการบินไทยสั่งทบทวนแผนเช่าเครื่องบินลำตัวกว้าง 8-10 ลำ ด้าน CEO THAI คาดปี 2569 เครื่องบินลำตัวกว้างออกจากฝูงบินรวม 10 ลำ เสี่ยงสูญรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท ใน 6 ปี ย้ำแผนรับ A320neo ใหม่ 17 ลำ เน้นเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางบินระยะใกล้หวังชดเชยให้ได้มากที่สุด ปลื้มไตรมาส 4/2568 โหลดแฟกเตอร์เฉลี่ย 80% รักษาราคาตั๋วระดับสูงต่อเนื่อง ลั่นพร้อมลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) รองรับแผนไทยสู่ศูนย์กลางการบินอาเซียน
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยถึง กรณีที่คณะกรรมการบริษัท (บอร์ดการบินไทย) มีมติ “ตีกลับ” แผนการเช่าเครื่องบินลำตัวกว้าง 8-10 ลำ เพื่อให้ฝ่ายบริหารกลับไปทบทวนและศึกษาความจำเป็นและความเหมาะสมใหม่ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีของเครื่องบินที่อาจไม่ทันสมัย รวมถึงผลกระทบต่อกลยุทธ์การสร้างไทยเป็นศูนย์กลางการบินและรายได้ให้กับการบินไทย ว่า ได้จ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมตามที่บอร์ดแนะนำคาดว่าจะได้ผลสรุปภายใน 1-2 เดือน
เสี่ยงรายได้วูบ
โดยจากการประเมินเบื้องต้นภายในปี 2569 การบินไทยจะไม่มีเครื่องบินลำตัวกว้างประจำในฝูงบินเนื่องจาก เครื่องบิน Boeing 777-200 จะถึงกำหนดปลดประจำการ 6 ลำ, ต้องส่งคืนเครื่องบิน Boeing 787-8 ให้กับผู้ให้เช่า 2 ลำ, ต้องส่งคืนเครื่องบิน Airbus A350 ให้กับผู้ให้เช่า 2 ลำ, นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบิน 787-8 อีก 2 ลำ ที่จอด (Ground) อยู่เนื่องจากไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ Rolls-Royce Trent 1000 ได้ เบื้องต้นประเมินว่าการบินไทยจะสูญเสียรายได้ไปราว 1 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 6 ปีข้างหน้า แม้ว่าตามแผนการจัดหาเครื่องบินภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยมีแผนรับมอบเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER เข้ามา 4 ลำช่วงปลายปี 2569 ก็ตาม
“ปีหน้าเครื่องบินลำตัวกว้างที่ต้องออกจากฝูงบินทั้งสิ้น 10 ลำอีก 2 ลำจอดรอซ่อม ซึ่งตลาดที่แข็งแกร่งของการบินไทยคือยุโรป เมื่อไม่มีเครื่องบินเข้ามาสร้างรายได้ ก็ต้องยอมรับว่ารายได้จะหายไป ความล่าช้านี้ส่งผลกระทบต่อแผนการหารายได้และความสามารถด้านการแข่งขันของการบินไทย เนื่องจากสัดส่วนเครื่องบินลำตัวแคบสำหรับเส้นทางบินระยะใกล้ (Short-Haul) กับเครื่องบินลำตัวกว้างสำหรับเส้นทางบินระยะไกล (Long-Haul) ไม่สอดคล้องกัน กดดันศักยภาพการให้บริการการเดินทางเชื่อมต่อสู่จุดหมายปลายทางสำคัญทั่วโลก”
นายชาย กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการเฉพาะหน้า ว่า ณ สิ้นปี 2569 การบินไทยจะมีเครื่องบินประจำฝูงราว 64 ลำเป็นลำตัวแคบแอร์บัส เอ320นีโอ (A320neo) ซึ่งจะทยอยรับเข้ามาตลอดปี 2569 ทั้งสิ้น 17 ลำ โดยจะมุ่งเน้นการนำเครื่องบินให้บริการให้มากที่สุด ควบคู่กับใช้ศักยภาพของกการเป็นสายการบินเครือข่าย (Network Airline) และการลงนามข้อตกลง Interline กับสายการบินพันธมิตร เช่น Drukair เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถซื้อบัตรโดยสารแบบต่อเนื่อง (Through Check-in) และเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายได้สะดวกยิ่งขึ้น
โหลดแฟกเตอร์โค้งสี่พุ่ง
นายชาย กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2568 นี้ เบื้องต้นคาดการณ์อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) ประมาณ 80% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) โดยยังสามารถรักษาราคาค่าตั๋วโดยสารได้ในระดับสูง
“ไตรมาส 4 เป็นไฮซีซันผู้โดยสารจะยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักนิยมเดินทางท่องเที่ยว ดังนั้นการบินไทยจึงไม่ต้องแย้งส่วนแบ่งการตลาดกับใครผลการดำเนินงานปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้”
พร้อมกันนี้ยังคงความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย หลังจากการปรับโครงสร้างโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงานที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 12% ของรายได้การบิน จากช่วงปี 2562 ที่มีสัดส่วนราว 23% ของรายได้การบิน หนุนศักยภาพการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ให้เร่งตัวขึ้นมายืนเหนือ 23% ได้อย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมลงทุนศูนย์ซ่อม
ส่วนกรณีที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ในภูมิภาคเอเชียนั้น การบินไทยมีความพร้อมที่จะลงทุนสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ทั้งการลงทุนเพิ่มเติมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจาก AOT มีแผนพัฒนาส่วนต่อขยาย, ท่าอากาศดอนเมือง และสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งการบินไทยและพันธมิตรได้ยื่นข้อเสนอไปยังคณะกรรมการ EEC แล้วว่ามีความพร้อมเข้าลงทุนโดยจะพิจารณาศักยภาพของศูนย์ซ่อมบำรุงแต่ละแห่งให้สามารถรองรับเครื่องบินได้อย่างเหมาะสม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
