AMATAเปิดเมืองทุนเข้า โบรกเล็งอัพพื้นฐานใหม่
#AMATA #ทันหุ้น – AMATA โบรกชูหุ้นเด่นหุ้นเปิดเมืองที่ราคายังไม่สูง และมีโอกาสที่เม็ดเงินการลงทุนโดยตรงนักลงทุนต่างชาติจะเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น จับตาผลงานไตรมาส 2/2565 ฟื้นตัว จากยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้นและมีการเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่บริษัทมีแบ็กล็อกอยู่ที่ 4,768 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้มากกว่า 1,450 ล้านบาท ภายในปี 2565 นี้ พร้อมเล็งทบทวนประมาณการ และมีอัพไซด์เพียบ
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่น่าจับตาในช่วงการเปิดประเทศของไทยเอง รวมถึงญี่ปุ่นที่จะเปิดให้การเดินทางเข้าออกประเทศง่ายขึ้น ตลอดจนแนวโน้มที่จีนจะยกเลิกล็อกดาวน์ที่เซี่ยงไฮ้ เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มเปิดเมืองที่ราคายังไม่สูง และมีโอกาสที่เม็ดเงินการลงทุนโดยตรงนักลงทุนต่างชาติจะเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น
ทั้งนี้กลุ่มนักลงทุนทั้งจีนและญี่ปุ่นเป็นเบอร์ 1-2 ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด ดังนั้นการเปิดการเดินทางจะส่งผลดีทำให้การซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับผลประกอบการหุ้นนิคมอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาส 1/2565 ออกมาดีทั้งกลุ่ม โดยมองว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจชีวภาพ จะมีความต้องการที่ดินในไทยค่อนข้างมาก
*AMATA จับตา Q2 ฟื้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง AMATA ว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 2/2565 จะฟื้นตัว QoQ และทรงตัว YoY โดยประเมินยอดขายที่ดินจะฟื้นตัว QoQ จากกิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มกลับมาและมีการเพิ่มกำลังการผลิต ล่าสุดต้นเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา AMATA มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินในนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี 26 ไร่ ปัจจุบันขายที่ดินไปแล้ว 36 ไร่ หรือ 3% ของเป้าปี 2565 ของบริษัทที่ 1,100 ไร่มองว่าอาจจะมี Downside ได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมียอด Backlog อยู่ 4,768 ล้านบาท โดยบริษัทคาดจะรับรู้รายได้มากกว่า 1,450 ล้านบาท ภายในปี 2565 นี้
ขณะที่คาดกำไรสุทธิปี 2565 ที่1,683 ล้านบาท +20% YoY จากยอดขายที่ดินที่ฟื้นตัวตาม ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ 1.ผลบวกจากการเปิดประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว 2.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐ รวมถึงการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้มีการเพิ่ม/ขยายกำลังการผลิต3.ภาครัฐพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่ EEC และพื้นที่รอบข้างอย่างต่อเนื่อง
และ 4.การย้าย/กระจายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย เพื่อลดความเสี่ยงการ ชะงักระบบ Supply Chain จากที่ทางการจีนมีคำสั่ง Lockdown อย่างจริงจัง ทาง AMATA คาดยอดขายไว้ +10-20% YoY ในขณะที่คาดยอดขายแบบConservative ที่ 980 ไร่ หรือ + 7% YoY และยอดโอนที่ 70%
*ราคามีอัพไซด์
คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 24.20 บาท ด้วยวิธี SOTP จาก 1.ธุรกิจนิคม อิง P/E คิดเป็นมูลค่า 10.69 บาทต่อหุ้น 2.ธุรกิจสาธารณูปโภค และโรงงานให้เช่าอิง วิธี DCF ที่ 5.20 บาทต่อหุ้น และ3.ธุรกิจพลังงาน และอื่นๆโดยการลงทุนผ่านบริษัทร่วม ประเมินมูลค่า โดยอิงวิธี DCF คิดเป็นมูลค่าที่ 8.31 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ และตรวจสอบรายละเอียดกับทางบริษัท อย่างไรก็ตาม Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการ ได้แก่ 1.โครงการที่ สปป. ลาว 2,563 ไร่ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีใหญ่รถไฟระหว่างประเทศ สปป.ลาว-จีน ในโครงการ BRI 2.โรงไฟฟ้าในบริษัทร่วมจะ COD ในปี 2566 3.กำไรพิเศษจากการขาย RBF ในนิคมที่เวียดนาม