รีเซต

BCP รับรู้ด้อยค่าเงินลงทุน บล.กสิกรฯ ลดเป้าเหลือ 41.70 บ.

BCP รับรู้ด้อยค่าเงินลงทุน บล.กสิกรฯ ลดเป้าเหลือ 41.70 บ.
ทันหุ้น
3 มกราคม 2567 ( 09:44 )
45
BCP รับรู้ด้อยค่าเงินลงทุน บล.กสิกรฯ ลดเป้าเหลือ 41.70 บ.

#BCP #ทันหุ้น - บล.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงลบต่อกรณี BCP จะรับรู้ค่าใช้จ่ายการด้อยค่าเงินลงทุน และผลขาดทุนกำไร 2.5 พันลบ. และ 400 ลบ./ปี ตามลำดับ จากปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ลดลงของโครงการ Statfjord

มุมมองเชิงลบต่อข่าวดังกล่าวเนื่องจากผลกระทบมีนัยสำคัญ ผลตอบแทนโครงการจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในช่วง 2-3 ปี ก่อนปริมาณสำรองจะหมดลง

บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ "ถือ" และลดราคาเหมาะสมลงเป็น 41.70 บาท ราคาหุ้นจะสะท้อนการตั้งด้อยค่าดังกล่าว แนวโน้มกำไร 4Q66 ที่อ่อนแอลง และการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นใน 2Q67

 

Investment Highlights

ผลกระทบจากปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ลดลงของโครงการ Statfjord เมื่อวานนี้(2 ม.ค.) BCP รายงานต่อ ตลท.ว่าปริมาณสำรองปิโตรเลียมของโครงการ Statfjord มีแนวโน้มต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าประมาณ 10-15% จากแนวโน้มการลดลงของการผลิตเป็นปกติและความสามารถของหลุมผลิตที่ต่ำกว่าที่คาด ดังนั้น OKEA คาดว่าจะรับรู้การด้อยค่าเงินลงทุนจำนวน 1.10-1.60 พันล้านโครนนอร์เวย์ (NOK) ในงบการเงินไตรมาส 4/2566

 

สรุปความเป็นมา ในเดือน มี.ค.2566 OKEA ประกาศเข้าซื้อสัดส่วนลงทุน (WI) จำนวน 28% ในโครงการ PL037 จาก Equinor ซึ่งประกอบด้วย WI 23.93123% ใน Statfront Unit, 28% WI ใน Statfrontord Nord, 14% WI ใน Statfront Ost Unit และ 15.4% WI ใน Sygna Unit โดยมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งวันที่ 1 ม.ค.2566 ด้วยราคาซื้อขายจำนวน 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังมีเงื่อนไขในการแบ่งกำไรที่อาจเกิดขึ้นซึ่งบังคับใช้ในปี 2566-68 ทั้งนี้ มีการคาดกรณ์ว่าปริมาณสำรองสุทธิ 2P อยู่ที่ประมาณ 41 mmboe โดยมีทรัพยากร 2C สุทธิอยู่ที่ 8 mmboe ในขณะที่ OKEA คาดว่าจะมีการผลิตน้ำมันและก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งดังกล่าวที่ 13-15 KBD ในปี 2566 และเพิ่มเป็น 16-20 KBD ในปี 2567

 

มุมมองเชิงลบต่อข่าวดังกล่าว บล.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงลบต่อพัฒนาการดังกล่าว เนื่องจากผลกระทบของปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ลดลงนี้มีนัยสำคัญ และทำให้ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ นอกจากค่าใช้จ่ายด้อยค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนถือหุ้นที่ 500-727 ล้าน NOK ในงบการเงินไตรมาส 4/2566 ของ BCP หรือคิดเป็น 12-18% ของประมาณการกำไรปี 2566 ของเราแล้ว บริษัทฯ ยังจะขาดทุนกำไรในแต่ละปีที่ 400-500 ลบ./ปี จากปริมาณการผลิตที่อาจลดลง หรือคิดเป็น 4-5% จากประมาณการกำไรปี 2567 ของเรา คำนวณจากสมมติฐานที่ว่าปริมาณการผลิตที่ลดลง 2-3 KBD สอดคล้องกับปริมาณสำรองปีโตรเลียมที่ลดลง ซึ่งผลกระทบดังกล่าวอาจสูงหรือต่ำกว่าประมาณการนี้ขึ้นอยู่กับแผนการผลิตจริง นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงเงื่อนไขการแบ่งกำไรระหว่างปี 2566-68 เราคาดว่า (KEA จะต้องจ่ายเงินมากถึง 200 ล้านดอลลาร์ฯ สำหรับ WI นี้ โดยมีสำรองสุทธิ 2P เหลือเพียง 35 mmboe ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกว่า OKEA จะสามารถรับรู้เงินสดคืนแค่เพียงช่วง 2-3 ปี ก่อนที่ปริมาณสำรองจะหมดลง

 

ปรับประมาณการกำไรปี 2566-68 บล.กสิกรไทยปรับประมาณการกำไรปี 2566-68 ที่ -18%/+5%/-4% เป็น 1.198 หมื่นลบ./ 1.142 หมื่นลบ. / 9.94 พันลบ. เพื่อสะท้อนถึง 1) การรวมค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่าที่อาจเกิดขึ้นจำนวน 727 ล้าน NOK ในปี 2566 2) ส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจาก OKEA ประมาณ 400 ลบ./ปี อันเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่ลดลงในปี 2567-68 และ 3) ปรับปรุงประมาณการกำไรล่าสุดของ BCPG จากการขายธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานหลักอื่นๆ เช่น ค่าการกลั่น การดำเนินงานโรงกลั่น และส่วนแบ่งกำไรของ BSRC

 

Valuation and Recommendation

คงคำแนะนำ "ถือ" แต่ปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ลงเป็น 41.70 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรของเราและการลดตัวคูณมูลค่าหุ้นที่อาจเกิดขึ้นจาก ROE ที่อ่อนตัวลง 1% เราจึงลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ของ BCP จาก 47.90 บาท เป็น 41.70 บาท โดยเราลดเป้า adjusted PBV จาก +0.5SD หรือ 0.83 เท่า เป็นระดับเฉลี่ยที่ 0.74 เท่า และด้วยupside ที่จำกัดต่อราคาเป้าหมายใหม่  บล.กสิกรไทยจึงคงคำแนะนำ "ถือ" BCP  คิดว่าราคาหุ้นในระยะสั้นน่าจะสะท้อนผลกระทบการด้อยค่าเงินลงทุนดังกล่าว แนวโน้มกำไรสุทธิที่อ่อนแอลงในไตรมาส 4/2566 และผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในไตรมาส 2/2567

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง