รีเซต

นักบินอวกาศภารกิจอาร์ทีมิส 2 แถลงข่าวการกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 54 ปี

นักบินอวกาศภารกิจอาร์ทีมิส 2 แถลงข่าวการกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 54 ปี
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 01:28 )
11

วันที่ 24 กันยายน เวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย นักบินอวกาศภารกิจอาร์ทีมิส 2 แถลงข่าวการกลับไปดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 54 ปี โดยมีผู้บัญชาการ รีด ไวส์แมน (Reid Wiseman), นักบินวิกเตอร์ โกลเวอร์ (Victor Glover), และผู้เชี่ยวชาญภารกิจคริสติน่า โคช (Christina Koch) จากองค์การนาซา NASA ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภารกิจเจเรมี่ แฮนเซน (Jeremy Hansen) จากองค์การอวกาศแคนาดา (CSA)

โดยวัตถุประสงค์หลักของภารกิจอาร์ทีมิส 2 คือ การทดสอบและประเมินประสิทธิภาพของยานอวกาศ Orion และจรวด Space Launch System (SLS) อย่างละเอียดในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อรับประกันความปลอดภัยและปูทางสู่ความสำเร็จของภารกิจ Artemis III ที่จะส่งมนุษย์กลับไปเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์อีกครั้ง

ประเด็นสำคัญที่ได้จากการแถลงข่าวครอบคลุมถึงสถานะของภารกิจในฐานะ "ภารกิจทดสอบ" ซึ่งความสำเร็จไม่ได้วัดจากการไปถึงดวงจันทร์เพียงอย่างเดียว แต่คือการรวบรวมข้อมูลเพื่อภารกิจในอนาคต 

นอกจากนี้ยังมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของทีมงานภาคพื้นดินหลายพันคน ความสามัคคีที่แข็งแกร่งของลูกเรือที่ผ่านการฝึกฝนร่วมกันมากว่า 2 ปีครึ่ง และบทบาทสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของแคนาดา 

ภารกิจนี้ยังมีเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ เช่น การวิจัยผลกระทบของอวกาศห้วงลึกต่อร่างกายมนุษย์ และโอกาสพิเศษในการสังเกตการณ์ด้านไกลของดวงจันทร์ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดมองเห็นมาก่อน โดยลูกเรือได้ตั้งชื่อยานอวกาศ Orion ที่จะใช้ในภารกิจนี้ว่า อินเทเกรทิ (Integrity) เพื่อสะท้อนถึงคุณค่าหลักที่พวกเขายึดถือร่วมกัน

ภาพรวมและวัตถุประสงค์ของภารกิจ

รีด ไวส์แมน (Reid Wiseman) ผู้บัญชาการภารกิจ เน้นย้ำหลายครั้งว่า "นี่คือภารกิจทดสอบ" (THIS IS A TEST MISSION) หมายความว่าแผนการบินมีความยืดหยุ่นสูงและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุด 

สถานการณ์ที่เป็นไปได้มีตั้งแต่ การกลับสู่โลกหลังจากขึ้นสู่วงโคจรได้ไม่นาน การใช้เวลา 3-4 วันโคจรรอบโลกเพื่อทดสอบระบบต่าง ๆ และการดำเนินภารกิจเต็มรูปแบบคือการเดินทางไปโคจรรอบดวงจันทร์

การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของยานอวกาศและจรวดในแต่ละขั้นตอน เป้าหมายสูงสุดคือการรวบรวมข้อมูลและลดความเสี่ยงสำหรับภารกิจในอนาคต

เส้นทางสู่ Artemis III

ความสำเร็จของภารกิจ Artemis II ถูกนิยามโดยการเตรียมความพร้อมให้กับภารกิจ Artemis III ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งมนุษย์ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ Jeremy Hansen กล่าวว่า "ความสำเร็จของภารกิจสำหรับเรา คือการทำให้ Artemis III สามารถกลับไปสู่พื้นผิวของดวงจันทร์ได้" ภารกิจนี้จึงเปรียบเสมือนการวิ่งผลัดที่ส่งไม้ต่อให้กับทีมต่อไป

กรอบเวลาการปล่อยยาน

NASA ได้ประกาศกรอบเวลาการปล่อยยานเบื้องต้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ลูกเรือย้ำว่าจะไม่มีการยึดติดกับวันที่ที่กำหนดไว้ การปล่อยยานจะเกิดขึ้น "เมื่อยานพร้อม เมื่อทีมงานพร้อม" เท่านั้น ความปลอดภัยและความพร้อมของทุกองค์ประกอบคือสิ่งสำคัญที่สุด

ยานอวกาศ Integrity

ลูกเรือได้เปิดเผยชื่อที่พวกเขาตั้งให้กับยานอวกาศ Orion ของภารกิจนี้ว่า Integrity (ซึ่งแปลว่า ความซื่อสัตย์, ความสมบูรณ์) ชื่อนี้มาจากการระดมความคิดของลูกเรือทั้งสี่คนและลูกเรือสำรอง โดยพิจารณาจากคุณค่าหลักของ NASA และองค์การอวกาศแคนาดา รวมถึงสิ่งที่พวกเขายึดถือร่วมกัน นั่นคือความหวังและสันติภาพสำหรับมวลมนุษยชาติ

รายละเอียดการปฏิบัติการและไทม์ไลน์

นักบินวิกเตอร์ โกลเวอร์ (Victor Glover) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับไทม์ไลน์ที่เข้มข้นของภารกิจ โดยเฉพาะในวันแรกซึ่งเต็มไปด้วยกิจกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง

วันแรกที่เข้มข้น

T-7 ชั่วโมง ลูกเรือตื่นนอนและเข้ารับการตรวจร่างกาย

T-4 ถึง T-3 ชั่วโมง เริ่มกระบวนการเข้าสู่ยานอวกาศ Orion บนฐานปล่อย

การปล่อยยาน จรวด SLS จะสร้างแรงขับมหาศาลถึง 8.8 ล้านปอนด์เพื่อส่งยานที่มีน้ำหนักรวมเชื้อเพลิง 5.5 ล้านปอนด์ขึ้นสู่อวกาศ

9 นาทีหลังปล่อยยาน ยานเข้าสู่อวกาศ

กิจกรรมหลังเข้าสู่วงโคจร

1. Perigee Raise Maneuver การจุดจรวดเพื่อปรับวงโคจรให้สูงขึ้นและมีเสถียรภาพ

2. System Checkouts ลูกเรือจะออกจากที่นั่งเพื่อตรวจสอบระบบที่สำคัญ เช่น ระบบน้ำ และ "ห้องน้ำ" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภารกิจระยะยาว

3. Apogee Raise Burn การจุดจรวดอีกครั้งเพื่อส่งยานเข้าสู่วงโคจรที่ห่างจากโลกเกือบ 40,000 ไมล์

4. Manual Piloting Test หลังจากแยกตัวออกจากจรวดท่อนบน ลูกเรือจะทดสอบการควบคุมยาน Orion ด้วยมือ โดยการบินเข้าใกล้ยานท่อนบน เพื่อให้แน่ใจว่ายานมีความพร้อมสำหรับภารกิจที่ซับซ้อนในอนาคต เช่น การเชื่อมต่อกับยานลงจอดหรือสถานีอวกาศ Gateway

5. Cabin Reconfiguration การปรับเปลี่ยนและจัดเตรียมห้องโดยสารให้พร้อมสำหรับการอยู่อาศัยและทำงานตลอด 10 วัน

6. Translunar Injection (TLI) Preparation หลังจากทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานและได้งีบหลับสั้นๆ ลูกเรือจะทำงานร่วมกับศูนย์ควบคุมภารกิจในฮูสตันอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุดจรวด TLI ในวันที่สองเพื่อส่งยานมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์

วิทยาศาสตร์และการค้นพบ

คริสติน่า โคช (Christina Koch) อธิบายว่าภารกิจนี้มีองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการสร้างแรงบันดาลใจ

การวิจัยมนุษย์ในห้วงอวกาศลึก

ลูกเรือจะเข้าร่วมการทดลองวิจัยมนุษย์ 4 การทดลองหลักเพื่อศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในอวกาศห้วงลึก

1. ARCHER ศึกษาการทำงานของสมอง (Cognition), รูปแบบการนอนหลับ และประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด

2. AVATAR นำเซลล์จากร่างกายของลูกเรือไปเพาะเลี้ยงบน "ทิชชูชิป" (Tissue Chips) เพื่อสังเกตผลกระทบของรังสีในอวกาศต่อเซลล์โดยตรง

3. Bio-Immunity Markers ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในอวกาศ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับภารกิจระยะยาว

4. Standard Measures การรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพทุกด้านของลูกเรืออย่างครอบคลุม เพื่อสร้างคลังข้อมูลสำหรับการวิจัยในอนาคต

ธรณีวิทยาของดวงจันทร์และการสังเกตการณ์

ภารกิจนี้มอบโอกาสทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสำรวจดวงจันทร์ ลูกเรือจะมีเวลา 3 ชั่วโมงเต็มในช่วงที่ยานเข้าใกล้ดวงจันทร์มากที่สุด เพื่อทำการสังเกตการณ์พื้นผิวดวงจันทร์โดยเฉพาะ

โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกเรือจะได้เห็นพื้นผิวด้านไกลของดวงจันทร์ (Far Side) ในส่วนที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดมองเห็นมาก่อน เนื่องจากภารกิจ Apollo มักจะลงจอดในด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์ ทำให้ด้านไกลส่วนใหญ่อยู่ในความมืด

คริสติน่า โคช (Christina Koch) กล่าวว่า "ดวงตาของมนุษย์เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่เรามี" (Human eyes are one of the best scientific instruments that we have) นักธรณีวิทยาต่างตื่นเต้นกับข้อมูลที่อาจได้จากการสังเกตการณ์โดยตรงของลูกเรือ ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ เกี่ยวกับประวัติการก่อตัวของระบบสุริยะ

การประเมินความเสี่ยงของภารกิจ

ลูกเรือยอมรับตรงกันว่าภารกิจ Artemis เต็มไปด้วยความเสี่ยงระดับมหาศาล รีด ไวส์แมน (Reid Wiseman) ถึงกับอธิบายว่าเป็น “ตัวเลขที่บ้าคลั่ง” เช่น ความเร็วมหาศาล Mach 36 ในการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ 

ขณะเดียวกัน ลักษณะการออกแบบของภารกิจที่ใช้การจุดจรวดเพื่อเข้าสู่วิถีดวงจันทร์ ยังทำให้ยานต้องผูกมัดเส้นทางกลับโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แตกต่างจากภารกิจที่ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติซึ่งมีความยืดหยุ่นมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของลูกเรือเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลัก 

ประการแรก คือ การได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนการสร้างยาน Orion ทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและมั่นใจในยานพาหนะที่จะพาออกเดินทาง 

ประการที่สอง คือ การฝึกซ้อมที่เข้มข้นซึ่งมุ่งเน้นไปที่ “การรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้” โดยทีมฝึกจะสร้างสถานการณ์ซับซ้อนต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อทดสอบการทำงานร่วมกันระหว่างลูกเรือกับศูนย์ควบคุมภารกิจในการหาทางออกภายใต้แรงกดดันสูง

มรดกจากโครงการ Apollo และอนาคตของ Artemis

มรดกจากโครงการ Apollo ถูกมองว่าเป็นเส้นทางที่ส่งต่อความฝันและความสำเร็จให้กับมนุษยชาติ นักบินอวกาศในภารกิจ Artemis เห็นว่าหน้าที่ของพวกเขาไม่ใช่การสร้างสถิติใหม่ แต่เป็น “การแข่งขันวิ่งผลัด” ที่ต้องรับไม้ต่อจากอดีต และส่งมอบพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ภารกิจ Artemis III และภารกิจต่อ ๆ ไปก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

ภารกิจนี้ยังถูกคาดหวังว่าจะปลุกพลังแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก และเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือระดับนานาชาติ เหมือนที่ภารกิจ Apollo 8 เคยสร้างความประทับใจในปี 1968 เมื่อมนุษย์เห็นภาพโลกจากอวกาศครั้งแรก นับเป็นบทพิสูจน์ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันได้

ในระยะยาว วิสัยทัศน์ของนักบินอวกาศ รีด ไวส์แมน (Reid Wiseman) สะท้อนความถ่อมตัวและความหวังอันยิ่งใหญ่ เขากล่าวว่า “ผมหวังว่าในอีก 100 หรือ 200 ปีข้างหน้า เราจะถูกลืม” 

ซึ่งหมายความว่าหากวันนั้นมาถึง มนุษย์อาจตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคาร หรือแม้แต่ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ และภารกิจ Artemis จะกลายเป็นเพียงบทหนึ่งเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์การเดินทางสู่จักรวาลที่กลายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์แล้วนั่นเอง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง