ใช้บัตรเครดิต - บัตรกดเงินสด แบบไหนจะคุ้มช่วงวิกฤตโควิด-19
จากกระแสข่าวซิตี้กรุ๊ป ประกาศเตรียมยกเลิกการให้บริการลูกค้ารายย่อยใน 13 ประเทศ รวมทั้งไทยด้วย โดยธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ยังไม่สามารถตอบได้ ว่าพอร์ตลูกค้ารายย่อย ทั้งบัตรเครดิต และสินเชื่อต่างๆ นั้น ว่าจะมีการดำเนินการด้วยวิธีใด ซึ่งจะต้องรอทางนโยบายจากบริษัทแม่ก่อน ว่าจะให้ประมูลขาย หรือ เจรจากับสถาบันการเงินใด
True ID จึงพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมในการใช้เงินด้วยบัตรเครดิต บัตรเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคล แบบไหนถึงจะคุ้มค่าในช่วงวิกฤตการระบาดของโควิด-19
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในภาวะสังคมที่เผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อาจส่งผลให้กระแสรายรับปั่นป่วนตาม โดยเฉพาะเมื่อถึงรอบรายจ่ายพิเศษที่ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นค่าเรียน ค่าตรวจสุขภาพประจำปี ค่าเบี้ยประกันชีวิต ฯลฯ
ในกรณีที่มีทั้งบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ รวมทั้งยังมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอพอที่จะทยอยจ่ายคืนหนี้ก้อนนี้ทั้งหมดได้ภายในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เราควรเลือกใช้บัตรไหนดีถึงจะคุ้มค่าหรือประหยัดดอกเบี้ย
การเบิกถอนวงเงินจากบัตรเครดิต (ไม่ว่าจะเป็นการกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม หรือถือบัตรไปขอรับเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ หรือทำรายการบนแอปพลิเคชันโดยขอรับเป็นเงินโอนเข้าบัญชีเงินฝาก) มีค่าธรรมเนียมการถอนเงินสด 3% + ภาษี VAT 7% และอัตราดอกเบี้ยอีกไม่เกิน 16% ตามเพดานอัตราดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติกำหนดไว้
ส่วนการถอนเงินจากบัตรกดเงินสด เรียบง่ายกว่านั้นมากเนื่องจากคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 25% ต่อปี โดยทั้งสองบัตรเริ่มคิดดอกเบี้ยจากวันแรกที่ถอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีผู้ที่ไม่มีบัตรกดเงินสดและต้องการสมัครขอบัตรใหม่คงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า บัตรกดเงินสดเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับฯ ผู้สมัครต้องมีหลักฐานแสดงรายได้ เช่น สลิปเงินเดือน รายการเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝาก เอกสารแสดงการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) เป็นต้น โดยวงเงินที่จะได้อนุมัติขึ้นอยู่กับรายได้ เช่น กรณีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท จะได้วงเงินเพียง 1.5 เท่าของรายได้ และสามารถยื่นขอสมัครบัตรกดเงินสดจากผู้ให้บริการรายอื่นรวมไม่เกิน 3 ราย ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของแบงก์ชาติ
ทั้งนี้ ค่าผลรวมรายจ่ายจากการถอนเงินสดในบรรทัดสุดท้ายนี้ ต้องมองให้ลึกกว่าตัวเลขสูง-ต่ำที่ปรากฏ เนื่องจากในตารางบอกอยู่ว่าเป็นอัตราต่อปี แต่ถ้าเราขาดสภาพคล่องระยะสั้นมาก ๆ และตั้งใจจะคืนหนี้ให้จบภายใน 4 เดือนแล้ว คำนวณคร่าว ๆ ค่าใช้จ่ายจากการถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิตจะแพงกว่าการถอนด้วยบัตรกดเงินสดทันที
ภายใต้ความไม่แน่นอนที่โควิด 19 นำมาสู่สังคมไทย ได้สร้างความแน่นอนขึ้นประการหนึ่ง กล่าวคือ ลูกค้าบัตรชั้นดีที่ชำระหนี้สม่ำเสมอตามกำหนด เป็นลูกค้าที่ทุกธนาคารและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร ต่างแข่งขันนำเสนอบริการการเบิกใช้วงเงินสดจากวงเงินบัตรเดิมของเราที่เหลืออยู่ในรูปแบบ Installment Loan ที่แบ่งการชำระคืนหนี้ออกเป็นรายงวดเท่า ๆ กันภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ เช่น 6 เดือน 12 เดือน 2 ปี เป็นต้น
ซึ่งนอกจากจะได้ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเพดานของแบงก์ชาติแล้ว กรณีใช้วงเงินจากบัตรเครดิตยังไม่คิดค่าธรรมเนียม 3.21% อีกด้วย ถ้าขาดเงิน อย่าใจร้อน แค่ call แล้วเทียบ แต่ดีกว่านั้นต้องหมั่นออม และเลือกใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ลดอาการร้อนใจร้อนเงินจากหนี้ร้อนได้ตลอดไป
ต้องเลือกแบบไหนถึงจะคุ้มกับการใช้จ่าย
1. เข้าใจประเภทบัตรสินเชื่อ ว่ามีเงื่อนไขอะไร วิธีการใช้งานเป็นอย่างไร และอัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ เพื่อเลือกใช้บัตรสินเชื่อประเภทที่ตรงตามไลฟ์สไตล์ของเราที่สุด
บัตรเครดิต
ใช้รูดเพื่อชำระเงินแทนเงินสด โดย ธนาคารจะกำหนดวงเงินให้ตามความ สามารถในการชำระหนี้ของเรา และ กำหนดรอบระยะเวลาชำระเงินให้ เช่น ตัดรอบบัญชีทุกวันที่ 10 และชำระเงิน ภายในวันที่ 22 เป็นต้น เหมาะกับคนที่ ไม่อยากพกเงินสดคราวละมากๆ และ มีวินัยทางการเงินสูง เพราะหากจ่าย ชำระเงินคืนครบจำนวนภายในวัน ที่กำหนด ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย ซักบาทเดียว แต่ถ้าจ่ายชำระหนี้ หลังวันครบกำหนด ก็จะต้องชำระ ดอกเบี้ย ในอัตราสูงสุด 20% ต่อปี ของยอดหนี้ นับตั้งแต่วันที่รูดบัตร ใช้จ่าย นอกจากนี้ยังสามารถใช้บัตร เครดิตกดเงินสดได้ แต่ก็จะต้องจ่าย ดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่กดเงิน เช่นเดียวกัน
บัตรกดเงินสด
ทุกครั้งที่ใช้บัตรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมกดเงินสดในอัตรา 3% ของยอดเงิน ที่กดออกมา ซึ่งธนาคารจะกำหนด วงเงินและระยะเวลาชำระเงินให้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินสด อย่างเร่งด่วนและสามารถชำระเงินคืน ได้เร็ว เพราะจะต้องจ่ายดอกเบี้ย ในอัตราสูงสุด 28% ต่อปี โดยคิดตามจำนวนวันที่เรากด เงินสดออกไปใช้
สินเชื่อส่วนบุคคล
เป็นการขอวงเงินสินเชื่อจากสถาบัน การเงิน ถ้าอนุมัติก็จะได้รับเงินโอนเข้า บัญชีและนำไปใช้จ่ายได้ทันที โดยสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวงเงินสินเชื่อสูงและระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวกว่า เช่น 12 18 24 งวด ซึ่งสามารถแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ เท่ากันได้ แต่หากจ่ายหลังวันครบกำหนดจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงสุด 28% ต่อปี
2. เปรียบเทียบบัตรประเภทเดียวกันของธนาคารต่าง ๆ เมื่อเลือกบัตรที่เหมาะสมกับเราได้แล้ว ก็ลองเปรียบเทียบว่าธนาคารไหนคิดดอกเบี้ยต่ำที่สุด จ่ายเงินสะดวก และมีเงื่อนไขการชำระเงินที่ช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการใช้งาน
3. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพื่อความคุ้มค่า สถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะร่วมกับร้านค้ามอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้ถือบัตร เช่น การซื้อสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ย 0% การสะสมแต้ม การแลกของรางวัล และส่วนลดร้านค้าร้านอาหาร เป็นต้น
การเลือกบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลจะต้องรู้วัตถุประสงค์การใช้อย่างชัดเจน ควรตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ประกอบการตัดสินใจเพื่อให้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและเหมาะกับการใช้งานที่สุด และหากไม่วางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบจะทำให้เกิดภาระหนี้ได้เช่นเดียวกัน
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, thebangkokinsight
ข่าวที่เกี่ยวข้อง