วิกฤต "สตาร์บัคส์" เลิกจ้างอีกรอบ 900 คน ปิดสาขา 500 แห่ง

ขายไม่ออก ขายไม่ได้ ขายไม่ดี สตาร์บัคส์ในสหรัฐอเมริกา เจอกับมรสุมหนัก หลังจากภาวะยอดขายสาขาเดิมลดลงต่อเนื่องถึง 6 ไตรมาสติดกันนับตั้งแต่ ปี 2024 ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงอย่างหนักในตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่รัดเข็มขัดระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในยุคนี้
“Back to Starbucks” กลับคืนสู่สตาบัคส์ คือ ชื่อแผนการพลิกฟื้นธุรกิจในปัจจุบันนี้ของสตาร์บัคส์ ภายใต้การนำของซีอีโอ ไบรอัน นิคโคล (Brian Niccol) โดยนิคโคลเน้นย้ำว่าเป้าหมาย คือ การลงทุนเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าและร้านกาแฟให้มากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงหน้าร้านและสาขาต่างๆ เพื่อให้กลับมาเป็น “The Third Place” หรือที่นั่งพักพิงนอกบ้านสำหรับผู้บริโภค นอกเหนือจากการอยู่บ้านและอยู่ที่ทำงาน
แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่ฟื้นตัวได้ วันนี้สตาร์บัคส์ ต้องแลกด้วยการผ่าตัดครั้งใหญ่ คือ ด้วยการเอาคนออก หรือเลิกจ้างเป็นรอบที่สองของปีนี้ และหนักถึงขั้นปิดสาขาหลายแห่ง
ล่าสุด สตาร์บัคส์ (Starbucks) ได้ออกประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า บริษัทเตรียมเดินหน้าแผนปรับโครงสร้าง มูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (หรือกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท) ซึ่งแผนที่ว่านี้หมายรวมถึงการปิดร้านกาแฟบางแห่งในอเมริกาเหนือ และเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติม โดยทั้งหมดยังอยู่ภายใต้แผนหลัก “Back to Starbucks” พนักงานที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับแจ้งเตือน และจะได้รับเงินชดเชยและเงินช่วยเหลือจำนวนมาก นอกจากนี้ยังทางบริษัทยังประกาศปิดประตูรับคนใหม่ ด้วยการปิดรับตำแหน่งงานที่ว่างอยู่เป็นจำนวนมากด้วย
ข้อมูลในเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) บริษัทสตาร์บัคส์ระบุว่าจำนวนร้านที่บริษัทบริหารเองในอเมริกาเหนือจะลดลงประมาณ 1% หรือคิดเป็นการปิดสุทธิประมาณ 500 สาขา ตามการประเมินของ TD Cowen พร้อมกับการเลิกจ้างพนักงานนอกสาขาอีกประมาณ 900 คนด้วย
โดยสตาร์บัคส์คาดว่า 90% ของค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ครั้งนี้ จะมาจากธุรกิจในอเมริกาเหนือ และบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายการเลิกจ้างประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับการปิดร้านอีกประมาณ 850 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะเหลือจำนวนร้านในอเมริกาเหนือ รวมทั้งร้านที่บริษัทบริหารเองและร้านแฟรนไชส์ อยู่ที่ประมาณ 18,300 สาขา ก่อนที่จะกลับมาเริ่มขยายสาขาอีกครั้งในปีงบประมาณ 2569