"TIDLOR" ซื้อตอนนี้ โอกาสหรือความเสี่ยง
บล.แลนด์ แอน เฮ้าส์ ส่องหุ้น TIDLOR แม้กำไร Q2/66 ลดลง -3%QoQ /-6%YoY แต่ยังถือว่าทำได้ตามแผน ยังคงเป้าทั้งปีไว้ที่เดิมทุกอย่าง และเชื่อว่าทั้งปี 66 กำไรยังเติบโตจากปีก่อน +8% และทำนิวไฮต่อเนื่อง ทั้งนี้ราคาที่ปรับลงมาลึกเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น ถือเป็นโอกาสเข้าซื้อลงทุน
กำไร 1H66 ยังทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ กำไรสุทธิ Q2/66 แม้ลดลง -3% QoQ / -6% YoY แต่หากดูรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังเติบโตได้ดี มีเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ยังคงสูงอยู่ ประกอบกับการตั้งสำรอง ECL ที่ยังคงเพิ่มขึ้นยังเป็นตัวกดดันกำไรให้ลดลงเล็กน้อยทั้ง QoQ และ YoY ส่งผลให้กาไร 1H66 อยู่ ที่ 1,882 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 2% YoY
ยังคงเป้าหมายทางการทุกอย่างที่เดิม ยังทำได้ดีตามแผน และเชื่อมั่นว่าปีนี้กำไรยังเติบโตต่อเนื่อง TIDLOR ยังคงเป้าหมายทางการเงินไว้ที่เดิม ทั้ง 1) เป้าสินเชื่อโต 10-20% (1H66 +23% YoY) 2) เป้าเบี้ยประกันโต 20-25% (1H66 +29%) 3) เป้า NPL < 1.8% (1H66 =1.54%) 4) เป้า credit cost ที่ 3-3.35% (1H66=3.1%) ซึ่งจะเห็นว่าผลประกอบการ 1H66 ยังถือว่าทำได้ตามเป้าทั้งหมด สำหรับการก่อตัวขึ้นของหนี้ NPL ใหม่ (NPL Formation) สอดคล้องกับการตั้งสำรอง credit cost ที่คาดว่าจะ peak Q2/66-ต้น Q3/66 ทั้งนี้ผู้บริหารยังคงถือว่าทำได้ตามแผนที่วางไว้ และเชื่อมั่นว่ากำไรปีนี้ยังโตต่อเนื่องได้จากปีที่แล้ว
สำหรับประเด็น D/E ตามพรบ.ต่างด้าวที่ต้อง < 7X นั้น ทางผู้บริหารระบุยังอยู่เพียงราว 5X คงไม่มีปัญหาเพิ่มทุนในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ผู้บริหารชี้แจงเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 คือ Siam Asia Credit Access ว่าเป็น กองทุน Private equity ไม่ได้เป็น strategic partner ไม่มี timeline ว่าจะขายตอนไหน และไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 66 โต 8% จากกำไร 1H66 คิดเป็น 48% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัย ยังคงไม่ปรับประมาณการกำไรทั้งปีลง เชื่อว่า 1H66 ยังถือว่าเป็นไปตามคาด ประกอบกับการที่ TIDLOR ยังคงเป้าหมายทุกอย่างไว้ที่เดิม ฝ่ายวิจัยจึงยังค่อนข้างเชื่อมันว่า TIDLOR จะยังคงมีกำไรสุทธิปีนี้ที่ 3,917 ลบ. เพิ่มขึ้น 8% YoY ซึ่งถือเป็นกำไรนิวไฮอีกปีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี จากการที่ TIDLOR จ่ายหุ้นปันผลจากผลกาไรที่ผ่านมาทำให้จำนวนหุ้นทั้งหมดในปีนี้เพิ่มขึ้น 12.5% เป็น 2,809.5 ล้านหุ้น ส่งผลให้ EPS ปี 66 จะลดลงจากปี 65 ที่ 4% YoY แต่คาดจะโตสูงขึ้นในปีถัดไปได้
แนะนำ “ซื้อ” ฝ่ายวิจัยมีการปรับราคาเป้าหมายลงเล็กน้อย สะท้อนความเสี่ยงที่มีอยู่มากในปัจจุบัน ทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์ที่มีผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะส่งผลต่อกำไรในระยะยาว ภายใต้การปรับสมมติฐาน LT ROE เหลือ 15.5% และ cost of equity ที่ 12% LT growth ที่ 10% จะได้ราคาเป้าหมาย 27 บ. อิง PBV66F 2.75x เทียบเท่า P/E66F 19X ราคาหุ้นปรับลงมาค่อนข้างมาก มี upside ถึง 31% แนะนำ “ซื้อ”
ปัจจัยเสี่ยง วิกฤติเศรษฐกิจโลกชะลอตัวยาวนาน ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทย และกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงมาตรการต่างๆ ของธปท. นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้าน D/E ตำมพรบ.ต่างด้าวต้อง < 7x ที่อาจกดดันหากมีการขยายสินเชื่อมากๆ อาจทำให้ต้องเพิ่มทุน หรือจ่ายหุ้นปันผลทำให้ EPS dilute ลงเป็นระยะ