รอยช้ำใหม่มือซ้าย ‘ทรัมป์’ โผล่อีกแล้ว จุดกระแสสงสัย แพทย์ชี้ อาจไม่เกี่ยวจับมือบ่อย

รอยฟกช้ำใหม่ที่หลังมือซ้ายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กำลังจุดกระแสตั้งคำถามเรื่องสุขภาพของทรัมป์อีกครั้ง เกือบหนึ่งปีหลังเขาสาบานตนรับตำแหน่งในฐานะผู้นำอเมริกาที่มีอายุมากที่สุด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ในวัย 79 ปี ปรากฏตัวพร้อมรอยฟกช้ำจางๆ ที่หลังมือซ้าย นอกเหนือจากรอยฟกช้ำที่มือขวาซึ่งเห็นต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้หลายเดือน รอยฟกช้ำใหม่ข้างซ้ายนี้ทำให้คำอธิบายเดิมของทำเนียบขาวที่ระบุว่า ทรัมป์ถนัดขวาและเกิดรอยฟกช้ำจากการจับมือบ่อยร่วมกับการกินยาแอสไพรินเป็นประจำยิ่งซับซ้อนขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ให้ความเห็นกับสื่อสหรัฐฯ ว่า ยังไม่มีเหตุให้ต้องกังวลใหม่ โดยมองว่าเป็นภาวะไม่รุนแรงที่พบได้ทั่วไปในคนสูงอายุ แต่เตือนว่า ความไม่เต็มใจของทรัมป์ในการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพอย่างโปร่งใส อาจยิ่งเพิ่มแรงตรวจสอบที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดปี
เจฟฟรีย์ ลินเดอร์ หัวหน้าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม วิทยาลัยแพทย์ไฟน์เบิร์ก มหาวิทยาลัยนอร์ธ เวสเทิร์น ชี้ว่า การปกปิดหรือคำอธิบายคลุมเคลือกำลังยิ่งกระตุ้นวงจรความสงสัย เพราะทรัมป์อยู่ในสายตาสาธารณะและต้องการรักษาภาพลักษณ์ความแข็งแรง แม้รายละเอียดเล็กน้อยก็อาจบั่นทอนภาพลักษณ์นั้นได้
รอยฟกช้ำที่มือซ้ายจึงเป็นพัฒนาการล่าสุดที่กระตุ้นการคาดเดาเรื่องสุขภาพ นับตั้งแต่ทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับเขา และมักถูกโต้ด้วยการย้ำถึงความกระฉับกระเฉง ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งส่วนหนึ่งด้วยการหยิบยกความกังวลของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต่ออายุและสภาพร่างกายของโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีที่มีอายุกว่า 83 ปีแล้ว โดยทรัมป์มักจะใช้การเปรียบเทียบนี้ในการปราศรัย และมักตั้งคำถามว่า “คิดว่าไบเดนทำแบบนี้ได้ไหม?”
อย่างไรก็ดี แม้ตารางงานสาธารณะของทรัมป์จะคึกคักกว่า แต่เขาก็ยังเผชิญคำถามสุขภาพเป็นระยะ หลังภาพช่วงฤดูร้อนเผยให้เห็นอาการขาบวมของเขา ทำเนียบขาวประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “ภาวะหลอดเลือดดำเรื้อรัง (chronic venous insufficiency)” ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
แต่เมื่อถูกถามในสัปดาห์นี้เกี่ยกวับรอยฟกช้ำที่มือซ้าย ทำเนียบขาวกลับปฏิเสธที่จะให้คำอธิบายใหม่ โดยแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวเพียงว่า ประธานาธิบดีพบปะและจับมือับชาวอเมริกันมากว่าประธานาธิบดีคนใดในประวัติศาสตร์
แพทย์หลายรายที่ตรวจดูภาถ่ายให้ความเห็นว่า รอยเปลี่ยนสีดังกล่าว “ไม่น่าจะเกิดจากการจับมือ” เนื่องจากทรัมป์ถนัดวา แต่ปัจจัยอายุและการใช้แอสไพรินอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายขึ้น ศาสตราจารย์โจนาธาน ไรเนอร์อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์และสุขภาพวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน อธิบายว่า การกระแทกเล็กน้อยก็อาจทำให้ช้ำได้ และแอสไพรินทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า รอยฟกช้ำลักษณะนี้พบได้ในผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดที่แรงกว่าแอสไพริน จึงเกิดคำถามว่าทรัมป์ได้เปิดเผยรายชื่อยาที่ใช้ทั้งหมดหรือไม่ โดยย้ำว่าเป็นประเด็น “ความโปร่งใส” มากกว่าทางการแพทย์
ก่อนหน้านี้ รอยฟกช้ำที่มือขวาของทรัมป์มีมาก่อนแล้ว แต่ยิ่งถูกจับตามองหลังเขาพยายามปกปิดด้วยคอนซีลเลอร์และผ้าพันแผล ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัย ขณะเดียวกัน แพทย์ทำเนียบขาวเคยยืนยันพร้อมการประกาศวินิจฉัยภาวะหลอดเลือดดำเรื้อรังว่า “ประธานาธิบดียังคงมีสุขภาพที่ดีเยี่ยม”
ทั้งนี้ ภาพรอยฟกช้ำที่มือซ้ายล่าสุดนั้น กำลังแพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดีย ท่ามกลางสายตาและการรับรู้ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหลายต่อผู้นำสหรัฐฯ ในวาระที่สองนี้ที่กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 8 ของชีวิต นักประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีถึงกับเตือนว่า เมื่อผู้นำย้ำภาพความแข็งแรงของร่างกายอย่างชัดเจน แม้สัญญาณเล็กน้อยของความเปราะบางเฉกเช่นรอยช้ำนี้ปรากฏขึ้นมา ก็จะถูกขยายความสำคัญมากขึ้นทันที
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
