“ทุนศูนย์เหรียญ-เหล็กตกเกรด” จุดอ่อนอุตสาหกรรมไทย หรือภัยแฝงในระบบผลิต?

การลงพื้นที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็ก 2 แห่งในจังหวัดปราจีนบุรี ไม่ใช่แค่ภารกิจด้านกฎหมายตามปกติ แต่กำลังชี้ไปยังปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบอุตสาหกรรมไทยที่ถูกมองข้ามมานาน — ปัญหาคุณภาพสินค้า การลักลอบดำเนินกิจการผิดกฎหมาย และธุรกิจทุนต่ำไร้ประสิทธิภาพที่ดำรงอยู่เพียงเพื่อหมุนเวียนผลประโยชน์แฝงรูปแบบใหม่
ในวันที่ไทยกำลังพยายามปั้น “New S-Curve” สร้างอุตสาหกรรมยุคใหม่ตามนโยบายเศรษฐกิจ BCG และดิจิทัล การปล่อยให้ “ธุรกิจศูนย์เหรียญ” เติบโตในช่องว่างของกฎหมาย กลับกลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบอุตสาหกรรมในภาพรวม
ความเสี่ยงจาก “ทุนต่ำ-กำไรสูง” กับพฤติกรรมหลบกฎหมาย
คำว่า “ธุรกิจศูนย์เหรียญ” ไม่ได้หมายถึงกิจการที่ไม่มีรายได้ แต่หมายถึงโครงสร้างธุรกิจที่มีต้นทุน-ทุนจดทะเบียนต่ำ แต่สามารถเคลื่อนไหวเงินจำนวนมากผ่านช่องทางที่ยากต่อการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าวัตถุดิบราคาถูกจากต่างประเทศ การเลี่ยงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่การใช้เครื่องจักรที่ไม่ได้แจ้งให้รัฐทราบ
การพบว่าโรงงานแห่งหนึ่งนำเข้าเศษเหล็กปะปนขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 40,000 ตัน ไม่ใช่ความผิดพลาดเล็กน้อย แต่เป็นสัญญาณถึงช่องโหว่ในกระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐที่ถูกใช้ประโยชน์ในระดับอุตสาหกรรม
เมื่อมาตรฐานกลายเป็น “ตัวเลือก” ไม่ใช่ “ข้อบังคับ”
ข้อเท็จจริงที่พบในกรณีปราจีนบุรี ตั้งแต่การผลิตโดยไม่ตรงตามรายงาน EIA ไปจนถึงการใช้เครื่องจักรที่ไม่ได้แจ้งหน่วยงาน คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า มาตรฐานที่ควรเป็นข้อบังคับ กลับถูกปฏิบัติเสมือนเป็น “ตัวเลือก” ภายใต้ระบบที่ขาดการกำกับดูแลอย่างจริงจัง
หากปล่อยให้พฤติกรรมเช่นนี้ดำรงอยู่ต่อไป โดยไม่มีบทลงโทษที่เด็ดขาด นอกจากจะส่งผลต่อคุณภาพสินค้าที่ผู้บริโภคต้องเผชิญแล้ว ยังเป็นการบิดเบือนการแข่งขันทางธุรกิจ เพราะกิจการที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเสียเปรียบเชิงต้นทุนทันที
การบังคับใช้กฎหมายต้องมากกว่าปราบปราม
ความท้าทายของการ “จัดระเบียบอุตสาหกรรม” ไม่ใช่เพียงแค่จับโรงงานผิดกฎหมาย แต่คือการจัดระบบให้การประกอบธุรกิจถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง ต้องมีทั้งแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบอย่างสมัครใจ และมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดพอจะทำให้ต้นทุนการหลีกเลี่ยงกฎหมาย “ไม่คุ้มเสี่ยง”
หากรัฐต้องการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ และผลักดันมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยสู่สากล การปิดตาให้กับกิจการที่ลักลอบผลิต-นำเข้า หรือเลี่ยงระเบียบ จะเป็นอุปสรรคมากกว่าตัวช่วย
จากเหล็กถึงโครงสร้าง อุตสาหกรรมไทยต้องเลือกทาง
ในวันที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วย ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ระบบการผลิตไทยก็จำเป็นต้องยกระดับการกำกับดูแล และส่งเสริมธรรมาภิบาลภาคเอกชน มิใช่แค่ปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่เพียงลำพัง
การที่รัฐมนตรีเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลือกใช้ “ทีมสุดซอย” ลงพื้นที่ตรวจโรงงานเหล็ก อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปที่ลึกกว่า “หน้าฉาก” หากสามารถยึดหลักนโยบายนี้ได้ต่อเนื่อง ก็อาจนำไปสู่การรื้อระบบที่ปล่อยให้ทุนด้อยคุณภาพและกิจการไร้มาตรฐานแฝงตัวในภาคการผลิตมาเนิ่นนาน
ทางเลือกหรือทางรอด
บทบาทของรัฐในสถานการณ์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้กำกับดูแล แต่ต้องเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่กล้ากำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม ทั้งในแง่กฎหมาย สิ่งแวดล้อม และคุณภาพสินค้า
หากปล่อยให้กิจการที่ไม่โปร่งใสมีที่ยืน อุตสาหกรรมไทยอาจเดินหน้าด้วยเท้าที่ติดหล่ม และคำว่า “เศรษฐกิจยุคใหม่” ก็อาจกลายเป็นแค่คำขวัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น