“อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ อาจคร่า 1.3 ล้านชีวิตทั่วโลก จากวิกฤตสภาพอากาศร้อนจัด

การวิเคราะห์พบว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจนำไปสู่การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 1.3 ล้านคนทั่วโลก โดยมีผลกระทบหนักที่สุดต่อประเทศที่ยากจนและร้อนจัดในแอฟริกาและเอเชียใต้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมได้ช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศมีต่อมนุษย์ จากการวิเคราะห์เชิงลึกโดย ProPublica และ The Guardian ซึ่งอ้างอิงจากแบบจำลองที่ซับซ้อนของนักวิจัยอิสระ พบว่านโยบายที่สนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลและทำลายความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยความสูญเสียส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกา
การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมที่ถูกปล่อยออกมาในทศวรรษหน้า (ถึง พ.ศ. 2578) ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ คาดว่าจะนำไปสู่การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 1.3 ล้านคนทั่วโลก ตลอดช่วง 80 ปี หลังปี พ.ศ. 2578
และผู้ที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมนี้มากที่สุดคือผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนและร้อนจัดในภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียใต้ ประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ปล่อยมลพิษที่เป็นสาเหตุของวิกฤตสภาพภูมิอากาศค่อนข้างน้อย แต่กลับมีความพร้อมน้อยที่สุดในการรับมือกับความร้อนที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “อินเดีย” ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก และ “ปากีสถาน” ที่คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 6-7% ของโลก
ด้าน “R Daniel Bressler” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Bentley University ซึ่งพัฒนาแนวคิด "ต้นทุนการตายจากคาร์บอน" (Mortality Cost of Carbon) พบว่า แม้สหรัฐฯ จะปล่อยมลพิษทำให้โลกร้อนมากกว่าประเทศอื่น ๆ แต่กลับคาดว่าจะเผชิญกับการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติมเหล่านั้นเพียงไม่เกิน 1% ของยอดรวมทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดก่อนหน้า มีความพยายามครั้งสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์ในพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า แต่เมื่อทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว เขาก็เริ่มดำเนินการยกเลิกความก้าวหน้าเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีส การยกเลิกกฎระเบียบที่เข้มงวดด้านมลพิษจากรถยนต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และการปฏิบัติงานด้านน้ำมันและก๊าซ นอกจากนี้ "ร่างกฎหมายที่สวยงามขนาดใหญ่" (The big beautiful bill) ที่ลงนามในเดือนกรกฎาคม ยังตัดแรงจูงใจทางภาษีสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และยานยนต์ไฟฟ้า และเพิ่มการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล
การกระทำเหล่านี้ถูกนักเศรษฐศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ประณามอย่างรุนแรง เนื่องจากมันจะส่งผลกระทบต่อความเสียหายทั่วโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น
เพื่อประเมินผลที่ตามมา ProPublica และ The Guardian ได้ใช้ตัวเลขการปล่อยก๊าซเพิ่มเติมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 10 ปี (5.7 พันล้านเมตริกตัน) จากแบบจำลองของ Rhodium Group ร่วมกับ "ต้นทุนการตายจากคาร์บอน" ได้ประมาณจำนวนคาร์บอนที่คาดว่าจะทำให้เกิดการเสียชีวิต 1 ครั้งในช่วง 80 ปีไว้ที่ 4,434 เมตริกตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซตลอดชีวิตโดยเฉลี่ยของชาวอเมริกัน 3.5 คน หรือชาวไนจีเรีย 146.2 คน
อย่างไรก็ตาม การประมาณการนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของความเสียหายทั้งหมด เนื่องจากมุ่งเน้นเฉพาะการเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิโดยตรง (เช่น โรคลมแดดและการทำให้อาการป่วยเดิมแย่ลง) และได้หักลบจำนวนชีวิตที่รอดได้จากการสัมผัสกับความหนาวเย็นที่ลดลงออกไปแล้ว ตัวเลขนี้จึงยังไม่ได้รวมถึงการเสียชีวิตจำนวนมหาศาลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากผลกระทบที่กว้างขึ้นของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุเฮอริเคน หรือโรคที่เกิดจากพาหะ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแม้ในช่วง 2-3 ทศวรรษข้างหน้า การเสียชีวิตที่ลดลงจากความหนาวเย็นอาจเกือบจะชดเชยการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากความร้อนทั่วโลก แต่ในครึ่งหลังของศตวรรษ การเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนจะแซงหน้าการลดลงของการเสียชีวิตจากความหนาวเย็นอย่างมาก
ตามสถานการณ์ที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุด (pessimistic scenario) ซึ่งการปล่อยก๊าซเรื่อนกระจกทั่วโลกจะไม่ลดลงจนถึงสิ้นศตวรรษ วิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจคร่าชีวิตผู้คนถึง 83 ล้านคนทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2643 และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์ในปีนี้เพียงอย่างเดียวก็จะเพิ่มผู้เสียชีวิตเข้าไปในยอดรวมนั้นอีก 1.3 ล้านคน
นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า การดำเนินการที่เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิต ขณะที่การลดการปล่อยก๊าซจะช่วยชีวิตผู้คนได้ การคาดการณ์เหล่านี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงสิ่งที่เดิมพันอยู่ในการตัดสินใจด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศมหาอำนาจ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
