รีเซต

"คนละครึ่ง" ความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับเงื่อนไขประชาชนแล้ว เหลือนโยบายร้านค้า

"คนละครึ่ง" ความหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับเงื่อนไขประชาชนแล้ว เหลือนโยบายร้านค้า
TNN ช่อง16
29 กันยายน 2568 ( 08:00 )
10

ปัดฝุ่น "คนละครึ่ง" ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ เป้าหมายเพิ่มจีดีพี ใน 4 เดือน


ทำไมรัฐบาลของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรีคนใหม่ล่าสุด ต้องเอา "คนละครึ่ง" กลับมา โครงการที่คนไทยรู้จักกันดีจากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ภายใต้กรอบเวลาเพียงแค่ 4 เดือนก่อนเลือกตั้งใหม่ จะทำได้จริงหรือไม่   


โครงการ"คนละครึ่ง 2025" หรือ "คนละครึ่งพลัส" กำลังเกิดขึ้นแล้ว ภายใต้การนำรัฐบาล ของ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นการปัดฝุ่นโครงการเก่าเอาทำใหม่ แต่อัพเกรดยกเครื่องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่าง เพื่อให้ทันสมัยเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน 


ที่สำคัญ ที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง คือ คนละครึ่งยุคของรัฐบาลอนุทิน มาพร้อมกับรัฐมนตรีคลังคนนอก แต่ป็นคนในเนื้อแท้ของกระทรวงคลัง คือ "นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ" ที่นั่งควบตำแหน่งรองนายกฯ เป็นหัวเรือสำคัญที่จะทำหน้าที่ผลักดันนโยบาย ภายใต้กรอบความรับผิดชอบทางวินัยการคลัง และความยั่งยืนของเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันมีงบประมาณกลางปี 2569 อยู่ที่จำนวน 25,000 ล้านบาท 


ทำไม โครงการ "คนละครึ่ง" 2025 จึงเปรียบเสมือน "ยาแรง" และเป็นความหวังสำหรับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่เพียงภาครัฐ แต่ยังหมายถึงเอกชน และประชาชนในทุกระดับ คำตอบเป็นเพราะว่าที่ผ่านมา คนละครึ่งในยุคแรก ได้สร้างผลงานไว้อย่างดีเยี่ยม ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ  สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม 


จุดกำเนิด "คนละครึ่ง" 


เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงเวลาของวิกฤตโควิด-19 ภายใต้รัฐบาล "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" หรือช่วงปี 2563 เมื่อประเทศไทยเจอกับสึนามิทางเศรษฐกิจ ไทยและทั่วโลก เกิดการล็อกดาวน์ ปิดเมือง ปิดประเทศ จากปัญหาโรคระบาด  ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ประชาชนสูญเสียรายได้ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีใครเคยเจอมาก่อน หนทางเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจที่ทำได้ คือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ แต่ต้องอัดฉีดในรูปแบบที่เป็นยาแรง เห็นผลทันเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที 


วัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือ การช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านกลไกหลัก คือ คนละครึ่ง รัฐจ่ายครึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่ง หมายถึงการที่รัฐช่วยจ่ายหรือร่วมจ่าย (Co-payment) 50% สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" บนมือถือ ซึ่งสมัยนั้นมีการกำหนดวงเงินใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน มีการทำโครงการทั้งหมด 5 ระยะ หรือ 5 เฟส เริ่มตั้งแต่ปี 2563 - 2565 มีผู้ร่วมใช้สิทธิประมาณ 30 ล้านคน พบว่ามีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ  1.8 เท่า และ SMEs ร้านค้ารายย่อย มียอดขายเพิ่มขึ้น  174%รัฐบาลได้ใช้งบประมาณอัดฉีดไปรวมกว่า 2 แสนล้านบาท 


แบ่งเป็นระยะดังนี้ 


ระยะที่ 1 : ไตรมาส 4 ปี 2563 งบประมาณ 30,000 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 49,050 ล้านบาท


ระยะที่ 2 : ไตรมาส 2 ปี 2564  งบประมาณ 22,500 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 53,015 ล้านบาท


ระยะที่ 3 : ครึ่งหลัง ปี 2564  งบประมาณ 126,000 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 223,922 ล้านบาท


ระยะที่ 4 : ไตรมาส 1 ปี 2565  งบประมาณ 38,400 ล้านบาท  เงินหมุนเวียน 61,835 ล้านบาท 


ระยะที่ 5 : ไตรมาส 3 ปี 2565 งบประมาณ 21,200 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 36,022 ล้านบาท 


นอกจากนี้ยังมีดัชนียืนยันว่า "คนละครึ่ง" ได้ช่วยให้เกิดการกระจายเม็ดเงินและประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกไปในแต่ละจังหวัดเป็นการชี้ให้เห็นชัดเจนว่าคนละครึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของประเทศ  โดยเฉพาะการช่วยคนตัวเล็ก ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าขนาดเล็ก พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย สร้างความคึกคักให้กับตลาดชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ทั่วทั้งประเทศ และยังมีประโยชน์โดยตรงและส่งผลต่อเนื่อง ไปทั่วทั้งระบบ ตั้งแต่การค้าปลีก ค้าส่ง ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ภาคการธนาคาร บริการ สาธารณูปโภคและภาคการเกษตร 


สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า โครงการคนละครึ่งมีบทบาทสำคัญในการพยุงกำลังซื้อของประชาชน ทำให้การบริโภคภาคเอกชนไม่ทรุดตัวลงรุนแรง และช่วยลดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในปี 2563–2564 ให้หดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองในเชิงโครงสร้างว่าโครงการคนละครึ่งไม่ได้เพียงแต่กระตุ้นกำลังซื้อ แต่ยังช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงไปถึงผู้ค้ารายย่อยและครัวเรือนฐานรากได้จริง ซึ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าและกระจายผลประโยชน์ได้กว้างขวางกว่าโครงการอุดหนุนรูปแบบอื่น


สำหรับกระแสตอบรับจากประชาชนก็เป็นไปในทิศทางที่ดี จากผลสำรวจความพึงพอใจจากประชาชนในหลายสำนัก ที่ระบุว่าประชาชนพอใจกับโครงการคนละครึ่ง ในระดับสูงมาก เพราะเป็นนโยบายที่จับต้องได้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม



"คนละครึ่งพลัส" หวังยาแรง ใน 4เดือน  


ความเห็นจากหลายภาคส่วนหนุนการนำคนละครึ่งกลับมาใช้เป็นยาแรงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยนายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่มีระยะเวลาในการทำงานสั้น ดังนั้นนโยบายที่อยากเห็น คือ นโยบายที่เริ่มทำได้รวดเร็ว เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่เป็นโครงการที่เคยทำมาแล้ว และได้สร้างผลต่อเศรษฐกิจประมาณ 1 เท่าจากเม็ดเงินที่ลงไป  


นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายคนละครึ่งที่รัฐบาลจะนำกลับมาใช้มีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นหากต้องการทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นอาจทำได้โดยปรับรูปแบบ เช่น  ไม่ออกแบบการจ่ายเงินเป็น 50:50 แต่แบ่งการจ่ายเงินเป็น 60:40 หรือ 70:30 มีการให้คูปองกับผู้ที่มีรายได้สูง เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่เคยทำในอดีต รวมไปถึงการนำฐานข้อมูลที่ได้จากโครงการ เช่น ประชาชนและร้านค้าที่ร่วมโครงการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อออกแบบนโยบายในอนาคตให้ตรงจุดได้มากยิ่งขึ้น


เช่นเดียวกับความเห็นของนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากมีการใช้โครงการ "คนละครึ่ง" โดยใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท จะเป็นหลักประกันว่าทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท และจะมีเงินเติมลงไปจากภาคประชาชนที่มีเงินออมเหลือ ซึ่งรวมแล้วอาจจะเป็น 7 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย เงินเหล่านี้จะถูกใช้จ่ายทันที คนที่มีรายได้น้อยจะใช้หมดเต็มวงเงินตามเงื่อนไข ร้านค้าจะสั่งวัตถุดิบในพื้นที่ทันทีเช่นกัน และจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 70,000-100,000 ล้านบาท จะเป็นผลดีเป็นแรงกระตุ้นทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โตได้ 2-3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้ โตได้ไม่ต่ำกว่า 2.5%


เงื่อนไขทางฝั่ง "ร้านค้า" ขยายโอกาสมากขึ้นหรือไม่ 


ล่าสุดมีเสียงทั้งจากภาคธุรกิจ ตั้งแต่ระดับ SMEs ไปถึงหอการค้า และตัวแทนภาคธุรกิจต่าง ที่ย้ำว่าหากมีการขยายเงื่อนไขไปยังฝั่งร้านค้าด้วย ก็จะเพิ่มแรงกระตุ้นได้อีก โดยเฉพาะ SMEs กว่า  9 แสนราย หรือคิดเป็นถึง 30% ของผู้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทย โดยข้อมูลการจัดเก็บ VAT เมื่อปี 2567 พบว่าอยู่ที่ 947,000 ล้านบาท  รวมไปถึง Modern Trade ที่ไม่ได้เข้าร่วม ก็เป็นช่องทางขายสินค้าให้ SMEs ต่างๆ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ คิดเป็น 20-25% ของ GDP ไทย การให้ Modern Trade เข้าร่วม จะช่วย SMEs ไทยได้ทั้ง Value Chain 


นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษาสมาคมโฮสเทล ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับรายการคนชนข่าวทาง TNN ระบุว่า การขยายโครงการไปยังร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีถือเป็นเรื่องที่ถูกทาง เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจทั้งต่อรัฐและประชาชนผู้ใช้สิทธิ เนื่องจากร้านที่เข้าร่วมจะต้องมีเอกสารทางภาษีและการดำเนินธุรกิจที่ตรวจสอบได้ ทำให้ระบบการใช้จ่ายในโครงการโปร่งใสกว่าเดิม และยังช่วยปิดช่องโหว่การทุจริตหรือการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง


พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า หากร้านค้าจำนวนมากเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เงินภาษีจะถูกจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเม็ดเงินที่รัฐอัดฉีดผ่านโครงการก็จะหมุนเวียนไปยังธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีมาตรฐาน การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงช่วยเหลือร้านค้าที่ปฏิบัติถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นการกดดันให้ร้านค้าที่อยู่นอกระบบตัดสินใจเข้าสู่ระบบ เพื่อจะได้ไม่เสียโอกาสทางธุรกิจในอนาคต


นอกจากนี้ยังความท้าทายสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือร้านค้ารายเล็กหรือผู้ประกอบการในชุมชนจำนวนมากยังไม่มีความพร้อมด้านเอกสารและระบบภาษี การกำหนดเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการจึงต้องมีความเหมาะสม ไม่เข้มงวดจนร้านเล็กไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ รัฐบาลควรหาทางออกด้วยการจัดอบรม ให้ความรู้ด้านบัญชีและภาษี รวมถึงออกแบบกระบวนการสมัครที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ร้านค้ารายย่อยสามารถปรับตัวและเข้าสู่ระบบได้จริง


ในมุมของภาพรวมเศรษฐกิจ  สะท้อนว่าหากรัฐบาลสามารถผลักดันโครงการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง จะก่อให้เกิดผลดีหลายด้าน ทั้งการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน การสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ และการเพิ่มรายได้ภาษีที่มั่นคงขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นมาตรการที่ให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจเชิงบวกให้ระบบภาษีของไทยมีความเข้มแข็งกว่าเดิม


แต่ทั้งหมดนี้จะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ยังคงขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่รัฐบาลจะประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการเข้าร่วม ระดับความเข้มงวดของการตรวจสอบ และมาตรการสนับสนุนร้านเล็ก หากทำได้สมดุล ระหว่างความโปร่งใสกับการเข้าถึงสิทธิ โครงการคนละครึ่งที่กำลังจะกลับมาครั้งนี้อาจไม่เพียงช่วยฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับระบบภาษีและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย


นี่คือข้อเสนอ เพื่อยกระดับมาตรการ "คนละครึ่ง" ที่จะช่วยทั้งผู้บริโภค และสร้างความเทียมให้แก่ผู้ประกอบการทุกราย และทำให้เงินภาษีหมุนเวียนกลับสู่เศรษฐกิจไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 



เปิดเงื่อนไข "คนละครึ่งพลัส" ใครมีสิทธิ์บ้าง ?


ข้อมูลล่าสุด "คนละครึ่งพลัส"  ณ วันที่ 26 กันยายน 2568 โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมายืนยันว่า คนละครึ่งจะมีเฟส 2 อย่างแน่นอน 


โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1 มีประมาณ 33 ล้านสิทธิ คาดเริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ ผู้มีสิทธิต้องอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้


1. “ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จำนวน 13 ล้านคน


รัฐบาลจะเติมเงินให้อีก 1,700 บาท ซึ่งจากเดิมให้อยู่แล้ว 300 บาท แต่เติมเพิ่มอีก 1,700 บาท รวมจะได้เงินทั้งหมด 2,000 บาท ทั้งนี้ จะเติมให้ครั้งเดียวเท่านั้น ใช้ได้ 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568


2. “ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี” จำนวน 9 ล้านคน


คนละครึ่ง 50:50 จะได้เงินคนละ 2,000 บาท จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท ใช้ได้ 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568


3. “ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี” จำนวน 11 ล้านคน


คนละครึ่ง 50:50 จะได้เงินคนละ 2,400 บาท จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท ใช้ได้ 2 เดือน คือ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง