รีเซต

"เศรษฐกิจไทยติดหล่ม" เอกนิติ ชี้ทางแก้ 5 เสาหลัก เร่งทำใน 4 เดือน

"เศรษฐกิจไทยติดหล่ม" เอกนิติ ชี้ทางแก้ 5 เสาหลัก เร่งทำใน 4 เดือน
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 07:00 )
10

รัฐมนตรีคลัง เผยเศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่ม เปิดทางแก้ด้วย 5 เสาหลัก โดยเฉพาะ “คนละครึ่งพลัส” กระตุ้นสั้น ย้ำไม่ตรวจสอบภาษีร้านค้าย้อนหลัง 


ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “THE FUTURE FINANCE” : โฉมใหม่การเงินการคลัง ในงานประกาศผลและมอบรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2568 “CEO Econmass Awards 2025” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ


ดร. เอกนิติ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ลดลงจากเฉลี่ย 7% ก่อนวิกฤตปี 2540 เหลือเพียง 3% ในช่วงปี 2550 และไม่ถึง 2% ในปัจจุบัน ปัญหานี้เกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและวิกฤตการณ์เฉพาะหน้า ขณะที่การลงทุนยังลดลง โดยก่อนปี 2540 การลงทุนของภาครัฐและเอกชนคิดเป็น 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงประมาณ 23% ซึ่งหมายถึงการขาดการลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัยและนวัตกรรมเพื่ออนาคต นอกจากนี้ไทยยังการขาดแคลนแรงงานมีทักษะซึ่งเป็นปัญหาที่นักลงทุนต่างชาติกังวลมากที่สุดทำให้การลงทุนย้ายฐานไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม


พร้อมกันนี้ได้เปรียบเทียบว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นรถที่ติดหล่ม และสภาพคล่องก็เหือดหายเหมือนน้ำมันจะหมดแล้ว มีคนขับแก่ไม่มีทักษะรองรับโลกใหม่จากปัญหาดังกล่าว ทำให้เราปล่อยแบบนี้ไปไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยรถยนต์ที่เรียกว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ใช่แค่ติดหล่มแต่จะดิ่งเหวเลย ดังนั้นโจทย์รัฐบาลคือต้องทำให้ได้ภายใต้เวลาจำกัด 4 เดือน


ดังนั้น รัฐบาลตระหนักถึงข้อจำกัดด้านเวลาเพียง 4 เดือน จึงได้วางกรอบนโยบายที่มุ่งเน้นการลงมือทำทันทีและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ประการคือ กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว ผ่าน 5 เสาหลักดังนี้


เสาที่ 1 : 

การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ได้แก่


1. โครงการคนละครึ่งพลัส ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นการบริโภคในกลุ่มผู้ค้ารายย่อย ควบคู่ไปกับการเพิ่มทักษะให้ผู้ค้า เช่น สอนการขายออนไลน์ การทำบัญชี และการใช้ AI เพื่อเพิ่มยอดขาย นอกจากนี้ยังสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าระบบภาษี โดยผู้ที่อยู่ในระบบจะได้รับเงินสนับสนุนมากกว่าที่ 2,400 บาท ขณะที่กลุ่มทั่วไปได้ 2,000 บาท


โดยรัฐมนตรีคลังยังได้ยืนยันด้วยว่าข้อมูลทุกอย่างของผู้ประกอบการจะไม่ส่งให้สรรพากรเพื่อป้องกันความกังวลเรื่องการตรวจสอบภาษีย้อนหลังจากโครงการนี้ สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการสามารถสะสมวงเงินสมทบ 200 บาทได้ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินสนับสนุน 200 บาทให้หมดในครั้งเดียว”


2. โครงการเที่ยวเมืองรอง โดยส่งเสริมการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยว พร้อมมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้โรงแรมในเมืองรองปรับปรุง (Renovate) ที่พักให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีในระยะยาว


เบื้องต้นจะให้ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักสามารถนำค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานประกอบการมา หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า เพื่อยกระดับคุณภาพและรองรับความต้องการในอนาคต แต่วงเงินลดหย่อนสูงสุดยังอยู่ระหว่างการพิจารณาตัวเลขโดยคำนึงถึงวินัยการคลังเป็นสำคัญ โดยคาดว่าโครงการท่องเที่ยวเมืองรองจะนำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ในวันที่ 15 กันยายน 2568


เสาที่ 2 : 

การช่วยเหลือหนี้ภาคประชาชน โดยจะใช้เงินคงเหลือ 26,000 ล้านบาทจากโครงการคุณสู้เราช่วยที่สถาบันการเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อซื้อหนี้เสีย (NPL) ของประชาชนมาบริหารจัดการ โดยมีเป้าหมายในการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลา และลดภาระการผ่อนชำระ เพื่อให้ลูกหนี้กลับมามีลมหายใจและวินัยทางการเงินที่ดีอีกครั้ง


เสาที่ 3 : 

การเพิ่มสภาพคล่องให้ SME โดยจะมีสินเชื่อ Supply Chain Financing ช่วยเหลือ SME ที่มีสัญญากับภาครัฐแต่ยังไม่ได้รับเงิน มาตรการรวมถึงมาตรการภาษีจูงใจให้บริษัทใหญ่ช่วยเหลือคู่ค้า SME หรือมาตรการภาษีพี่ช่วยน้อง


หลักใหญ่ๆ คือ ปกติบริษัทขนาดเล็กกรมสรรพากรจะคืนภาษีได้เลยแต่อาจมีเงื่อนไขในการคืนเงินภาษีให้บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ว่าต้องไปช่วยซัพพลายเชนด้วย”

นอกจากนี้จะเร่งคืนภาษี โดยกรมสรรพากรจะใช้ระบบ Post Audit คือคืนเงินภาษีก่อนแล้วตรวจสอบภายหลัง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ SME อย่างรวดเร็ว


เสาที่ 4 : 

การสร้างหลักประกันสังคมผู้สูงอายุ เพื่อแก้ปัญหาคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเงินออมเพื่อการเกษียณ โดยจะนำเงินส่วนหนึ่งจากสลากกินแบ่งรัฐบาลส่วนที่ประชาชนซื้อแล้วไม่ถูกรางวัลมาเปลี่ยนเป็นเงินออมในกองทุนเพื่อการเกษียณ โดยเงินก้อนนี้จะถอนไม่ได้จนกว่าจะอายุครบ 55 ปี แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วนสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ ซึ่งจะช่วยสร้างหลักประกันและส่งเสริมการออมระยะยาว


เมื่อประชาชนซื้อสลากดิจิทัลผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนหนึ่งของค่าบริหารจัดการ จะถูกนำไปใส่ในบัญชีการลงทุนสำหรับผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ และเงินในบัญชีจะถูกบริหารจัดการโดยกองทุนไม่ให้ไปซื้อหุ้นเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยง


เสาที่ 5 :

การลงทุนเพื่ออนาคตและปรับโครงสร้างระยะยาว โดยยกระดับทักษะแรงงาน (Reskill/Upskill) โดยใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาท จัดหลักสูตรอบรมระยะสั้น ตามความต้องการของนักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ๆ


ทั้งนี้ ทุกนโยบายของรัฐบาลจะดำเนินงานภายใต้กรอบของวินัยทางการคลัง โดยในเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลจะจัดทำกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework) เพื่อสื่อสารกับนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ โดยจะเปิดเผยข้อมูลและสมมติฐานเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีแผนการจัดการที่ชัดเจนและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว

 


นอกจากนี้ ดร.เอกนิติ ยังได้เปิดมุมมองสำคัญระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับโลกกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ภายใต้ 4 เทรนด์สำคัญ ได้แก่


1. การค้าขายระหว่างประเทศจากการค้าเสรีเป็นการค้าแบบเลือกข้าง โดยที่ผ่านมาไทยเศรษฐกิจไทยเติบโตมาจากการค้าเสรีโดยคว้าโอกาสจากโลกเก่าได้เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปเป็นการเลือกข้างดังนั้นไทยต้องปรับตัวเพื่อรองรับการค้าที่เปลี่ยนแปลงให้ได้


2. สังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบันคนเริ่มอายุมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเรียกว่าคนแก่เต็มเมือง (Older Bloom) โดยทั้งโลกมีคนที่มีอายุ 60 ปี เกิน 15% ขณะที่ไทยมี 20% นอกจากนี้ไทยยังมีปัญหาเกิดน้อยและโดนบังคับให้เกษียณทำให้กำลังแรงงานลดลงทำให้เป็นภาระต่องบประมาณภาครัฐดังนั้นเป็นโจทย์ของประเทศที่ต้องเพิ่มทักษะให้กับประชากร


3. เปลี่ยนจากยุค Analog เป็น Digital และ AI ซึ่งเป็นโจทย์ของประเทศที่ต้องพัฒนาคนให้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


4. เปลี่ยนจากปัญหาโลกร้อนเป็นโลกสีเขียว เห็นได้จากการที่ในปี 2569 ที่ยุโรปจะเก็บภาษี CBAM โลกจะมีกติกาสีเขียวมากขึ้น ซึ่งหากไทยเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนได้ก็จะเป็นโอกาสของประเทศ

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง