สหรัฐเตือน! โควิดสายพันธุ์ใหม่ "เฟลิร์ท" เสี่ยงระบาดหนักช่วงฤดูร้อน เช็กอาการที่นี่
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (US CDC) เตือน! โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ "เฟลิร์ท" อาการคล้ายโอมิครอน JN.1 แต่มีความเสี่ยงสูงที่อาจระบาดหนักในช่วงฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ หากยังมีอาการคล้ายโควิด-19 ให้ตรวจ ATK ซ้ำหลังจากตรวจครั้งแรกที่ให้ผลลบแล้ว 48 ชั่วโมง โดยไม่ได้แนะนำให้ผู้ติดเชื้อต้องกักตัวที่บ้าน 5 วันอีกต่อไป
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (US CDC) ได้ออกคำเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "เฟลิร์ท" (FLiRT) ซึ่งเป็นกลุ่มของเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ KP.2 ที่พบได้ในสัดส่วนราว 25% ของผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าจะระบาดหนักในช่วงฤดูร้อนนี้ แทนที่สายพันธุ์ JN.1 ที่ระบาดไปทั่วโลกในฤดูหนาวที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีโอมิครอนสายพันธุ์ KP.1.1 ที่กำลังแพร่ระบาดด้วยเช่นกัน โดยพบในสัดส่วนประมาณ 7.5% ของผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในสหรัฐฯ ระบุว่าสายพันธุ์ "เฟลิร์ท" มีคุณลักษณะบางประการที่น่ากังวล เช่น การเปลี่ยนแปลงโปรตีนหนามที่ช่วยให้ไวรัสฝังตัวอยู่กับเซลล์ของร่างกาย อันนำไปสู่อาการป่วย และยังกังวลว่าประชากรจำนวนน้อยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการระบาดรุนแรงขึ้นได้ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ก่อให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า แต่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ก็จะคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการแพร่กระจายตามชุมชนและประสิทธิภาพของวัคซีน
สำหรับอาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เฟลิร์ท จากรายงานระบุว่า มีความคล้ายคลึงกับอาการของสายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ได้แก่ มีไข้ หนาวสั่น ไอ เจ็บคอ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล ปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย หายใจลำบาก อ่อนเพลีย ตลอดจนอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องเสียเล็กน้อย และอาเจียน รวมถึงอาการที่เรียกว่า "สมองมึนงง" คือ ความรู้สึกไม่ตื่นตัวและตระหนักรู้น้อยลง
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับโควิด-19 ใหม่เมื่อเดือนมีนาคม 2567 โดยไม่ได้แนะนำให้ผู้ติดเชื้อต้องกักตัวที่บ้าน 5 วันอีกต่อไป แต่ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ ได้แก่ การอยู่แต่ในบ้านเมื่อป่วย ฉีดวัคซีนครบถ้วน รักษาสุขอนามัยที่ดี และปรับปรุงคุณภาพอากาศในอาคาร แนวทางใหม่นี้ง่ายและเข้าใจได้สำหรับบุคคลทั่วไป โดยผู้ที่ไม่มีไข้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกินยาลดไข้ และมีอาการอื่นๆ ไม่รุนแรงหรือดีขึ้นแล้ว สามารถออกจากบ้านและใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หากผลการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจนที่บ้าน (ATK) เป็นลบ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดเชื้อเสมอไป เพราะความแม่นยำอาจแตกต่างกันไป และมีความไวน้อยกว่าการตรวจ PCR โดยเฉพาะในระยะแรกของการติดเชื้อหรือไม่มีอาการ ดังนั้นหากยังมีอาการคล้ายโควิด-19 ก็ควรตรวจซ้ำหลังจากตรวจครั้งแรก (ที่ให้ผลลบ) ใน 48 ชั่วโมง และถ้ายังมีอาการอยู่และตรวจครั้งที่สองยังให้ผลลบอีก ก็ให้พิจารณาตรวจครั้งที่สามหลังจากนั้นอีก 48 ชั่วโมง หรือไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจด้วยวิธี PCR ที่มีความไวสูงกว่า
แม้ว่าข้อกำหนดการกักตัวจะผ่อนคลายลงแล้ว แต่ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจATK ซ้ำหากยังมีอาการ และควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อและการติดเชื้อในวงกว้าง ทั้งนี้เพื่อปรับนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและความเข้าใจเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้น