วัฒนธรรมแดนมังกรในหัวใจไทย จาก "แต๊ะเอีย" สู่ "งิ้วแต้จิ๋ว"

ควักกระเป๋าจ่ายแต๊ะเอียลูก ๆ หลาน ๆ หมดครั้งละเกือบหมื่น
บ่าวสาวยกน้ำชา ไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อเริ่มต้นใหม่ในชีวิตคู่
พิธีกงเต็ก ลูกหลานร่วมส่งวิญญาณผู้ล่วงลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมของชาวจีนที่ยังคงพบเห็นได้ทั่วไปในสังคมไทยในทุกวันนี้ ที่รับเอาวัฒนธรรมของแดนมังกรมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน ชนิดที่แยกกันแทบไม่ได้
แม้ไทยและจีนจะไม่ได้มีเส้นเขตแดนร่วมกัน แต่ในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมแล้ว ทั้งสองประเทศกลับมีสายใยที่ผูกกันแนบแน่นแบบที่หาได้ยาก ทั้งการแลกเปลี่ยนของผู้คน ความเชื่อ ภาษา และวิถีชีวิต ทำให้ “จีน” ไม่ใช่เพียงพันธมิตรทางการเมืองหรือการค้า หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “อัตลักษณ์ไทย” ในมิติต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
ความสัมพันธ์ไทย-จีนมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมีการส่งราชทูตและคณะพ่อค้าข้ามทะเลจีนใต้เพื่อมาเจริญสัมพันธไมตรี ความสัมพันธ์เหล่านี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องผ่านยุคกรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร์ และยุคหลังสงครามโลก
ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ กษัตริย์ไทยหลายพระองค์ เช่น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ให้ความสำคัญกับการค้าขายกับจีนเป็นอย่างมาก ขณะที่ผู้อพยพชาวจีนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสยาม ทั้งในฐานะแรงงาน กุลี พ่อค้า ไปจนถึงเจ้าสัวผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจและการเมือง
ชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ไม่เพียงแต่ไม่ถูกจัดให้เป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อยในไทย แต่ยังได้รับการเปิดรับ และผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย จนเกิดเป็นกลุ่ม “คนไทยเชื้อสายจีน” ที่มีบทบาทในทุกระดับของสังคม ตั้งแต่ พ่อค้า ไปจนถึง นักการเมือง
ในสังคมไทย การมีอยู่ของวัฒนธรรมจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพิธีกรรมหรือเทศกาลสำคัญเท่านั้น หากยังแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านอาหาร ภาษา การแต่งกาย ธุรกิจท้องถิ่น ไปจนถึงรูปแบบความสัมพันธ์ภายในครอบครัว วัฒนธรรมจีนกลายเป็นอีกหนึ่ง “เนื้อเยื่อ” ที่เชื่อมประสานผู้คนในสังคมไทยไว้อย่างกลมกลืน
ครอบครัวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ยังคงยึดถือโครงสร้างแบบครอบครัวขยาย ที่สมาชิกหลายรุ่นอาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ชายคาเดียวกัน ผู้เฒ่าผู้แก่ได้รับความเคารพในฐานะผู้มีประสบการณ์และเป็นศูนย์รวมจิตใจของบ้าน การไหว้ขอพรในวันตรุษจีน การแจกแต๊ะเอียให้ลูกหลานเพื่อเป็นเงินขวัญถุง หรือแม้แต่การจัดงานวันเกิดอาม่าอากง กลายเป็นโอกาสสำคัญที่รวมญาติและสานสัมพันธ์ระหว่างรุ่นอย่างแน่นแฟ้น และเหล่านี้ยังคงปรากฎอยู่จวบจนถึงยุคปัจจุบัน
อีกหนึ่งภาพสะท้อนที่ทรงพลังของความสัมพันธ์ข้ามรุ่นนี้ คือ การแสดงงิ้ว หรือ อุปรากรจีน ซึ่งถือเป็นศิลปะการแสดงที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี งิ้วไม่ใช่แค่การละเล่นเพื่อความบันเทิง หากแต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยสืบทอดค่านิยมและคุณธรรมของชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นความกตัญญู ความซื่อสัตย์ หรือความกล้าหาญ
ในอดีต เวทีงิ้วคือศูนย์รวมของชุมชน คนหนุ่มสาวได้ฟังตำนานของวีรบุรุษจีนผ่านบทบาทในงิ้ว ขณะที่ผู้เฒ่าผู้แก่ใช้โอกาสนี้นั่งล้อมวงพูดคุย แลกเปลี่ยนความทรงจำ .. “งิ้ว” จึงเป็นมากกว่าศิลปะ — มันคือเครื่องมือที่เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน และสานสายใยของผู้คนเอาไว้ในชุมชนอย่างลึกซึ้ง
แม้ปัจจุบันงิ้วจะไม่ได้รับความนิยมเท่าเดิม และถูกเบียดด้วยสื่อสมัยใหม่ แต่ในหลายชุมชน โดยเฉพาะย่านตลาดเก่าและศาลเจ้า ยังมีการจัดแสดงงิ้วในช่วงเทศกาล เพื่อเป็นการ “เซ่นไหว้” ทั้งเทพเจ้าและความทรงจำของบรรพบุรุษ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่า แม้เวลาจะเปลี่ยนผ่าน แต่แก่นของวัฒนธรรมจีนยังคงมีชีวิตอยู่ในสังคมไทยอย่างไม่จางหาย
ในวาระครบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ทางบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) ได้ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน นำการแสดงอุปรากรจีน “งิ้วแต้จิ๋ว” คณะกึงตังเตี่ยเกี๊ยะอิ๊กท้วง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคณะงิ้วอันดับหนึ่งของจีน มาจัดแสดงครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ภายใต้ชื่อชุด “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” ตลอด 7 วัน 16 เรื่องไม่ซ้ำ ระหว่าง 10-16 กรกฎาคม 2568 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม
สำหรับ “งิ้วแต้จิ๋ว” หรือ “เฉาโจวโอเปร่า” มีประวัติยาวนานเกือบ 600 ปี โดดเด่นด้วยเสียงร้องสำเนียงเฉพาะ ท่วงท่าที่ปราณีต และดนตรีพื้นบ้านอันไพเราะ จนได้รับฉายาว่า “ดอกไม้แห่งภาคใต้” และได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
ในยุคโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว วัฒนรรมบางอย่างอาจเลือนหาย แต่การที่สังคมไทยยังสามารถรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเปิดรับอัตลักษณ์ของกันและกันได้ ถือเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ วัฒนธรรมจีนในไทยจึงไม่ใช่เพียงวัฒนธรรมที่แทรกเข้ามา หากแต่ได้หยั่งรากลึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยในแบบที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
