รีเซต

‘ปรับปรุงห้องน้ำ-ยกเลิกวิชาลูกเสือ-ไม่กำหนดทรงผม’ สิ่งที่นักเรียนไทยอยากได้จากระบบการศึกษาที่สุด

‘ปรับปรุงห้องน้ำ-ยกเลิกวิชาลูกเสือ-ไม่กำหนดทรงผม’ สิ่งที่นักเรียนไทยอยากได้จากระบบการศึกษาที่สุด
TNN ช่อง16
13 มกราคม 2567 ( 10:19 )
63
‘ปรับปรุงห้องน้ำ-ยกเลิกวิชาลูกเสือ-ไม่กำหนดทรงผม’ สิ่งที่นักเรียนไทยอยากได้จากระบบการศึกษาที่สุด

‘ปรับปรุงห้องน้ำ-ยกเลิกวิชาลูกเสือ-ไม่กำหนดทรงผม’ สิ่งที่นักเรียนไทยอยากได้จากระบบการศึกษาที่สุด


‘สังคมต่างอยากเห็นเด็กทุกคนเป็นเด็กดี แต่เราเคยย้อนถามพวกเขาหรือไม่ว่าสังคมสามารถสนับสนุนอะไรให้พวกเขามีชีวิตที่ดีได้’


ในวันเด็กแห่งชาติปี 2567 นี้ ทีมข่าว TNN Online ขอนำเสนอผลการสำรวจที่น่าสนใจของ Rocket Media Lab ทำร่วมกับ มูลนิธิแพธทูเฮลท์ โดยสอบถามนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั่วประเทศ ถึงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา ดังนี้


สถานที่ใดที่อยากให้ปรับปรุงมากที่สุด?


อันดับ 1 ห้องน้ำ ตอบสูงถึง 1,388 คน คิดเป็น 96.92% 

ห้องเรียน 187 คน คิดเป็น 9.42% 

โรงอาหาร 156 คน คิดเป็น 7.86% 

สนามกีฬา 142 คน คิดเป็น  7.15% 

ห้องพยาบาล 31 คน คิดเป็น 1.56% 

ห้องสมุด 27 คน คิดเป็น 1.36% 

อื่นๆ 54 คน คิดเป็น 2.72% เช่น ห้องพักครู โดม หอประชุม โรงรถ ห้องเก็บของ และบางส่วนก็เขียนตอบว่าทุกข้อ


ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ต่างเลือกให้ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่อยากให้ปรับปรุงมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า นักเรียนทุกภาคต่างก็ลงความเห็นเหมือนกันว่าอยากให้โรงเรียนปรับปรุงห้องน้ำมากที่สุด


กฎเกณฑ์ของโรงเรียนเรื่องใดที่นักเรียนไม่ชอบมากที่สุด? 

อันดับ 1 ทรงผม ตอบสูงถึง 990 คน คิดเป็น 49.87% 

ยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียน 209 คน คิดเป็น 10.5% 

ห้ามแต่งหน้า 195 คน คิดเป็น 9.82% 

บังคับใช้กระเป๋าของโรงเรียน 150 คน 7.56% 

ห้ามทำสีผม 121 คน 6.10% 

เล็บต้องสั้น 100 คน คิดเป็น 5.04% 

กำหนดรูปแบบถุงเท้า 59 คน คิดเป็น 2.97% 

กำหนดความยาวกางเกง/กระโปรง 29 คน คิดเป็น 1.46% 

บังคับใส่เสื้อซับใน 16 คน คิดเป็น 0.81% 

อื่นๆ 116 คน คิดเป็น 5.84% เช่น ห้ามใส่เสื้อแขนยาวเสื้อกันหนาวหน้าร้อน ห้ามใส่เครื่องประดับ   

ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือ ปวช. ต่างตอบว่ากฎที่ไม่ชอบมากที่สุดคือกำหนดทรงผมเหมือนกัน ขณะที่นักเรียนทุกภาคตอบข้อนี้มากที่สุดเช่นกัน


การลงโทษแบบไหนของครูที่ไม่ชอบที่สุด? 

อันดับ 1 การประจานต่อหน้าเพื่อน ตอบสูงถึง 777 คน คิดเป็น 39.14% 

ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย 356 คน คิดเป็น 17.93% 

กล้อนผม/ตัดผม 248 คน คิดเป็น 12.49% 

ยึดโทรศัพท์ 182 คน คิดเป็น 9.17% 

สกอตจัมป์/วิ่งรอบสนาม 130 คน คิดเป็น 6.55% 

การตี 107 คน คิดเป็น 5.39% 

ให้นั่งตากแดด 66 คน คิดเป็น 3.32% 

อื่นๆ 119 คน คิดเป็น 5.99% เช่น หักคะแนนความประพฤติ เก็บเงิน/โดนปรับด้วยเงิน ยึดของ 

ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือ ปวช. ตอบเหมือนกันในอันดับหนึ่งและสอง และเกือบทุกภาคที่นักเรียนทั้งชั้นประถมและมัธยมศึกษาตอบมาเป็นอันดับสองก็คือ การด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ยกเว้นภาคตะวันตกที่อันดับสองคือการกล้อนผม/ตัดผม  


เรื่องที่อยากให้ครูเข้าใจและช่วยเหลือมากที่สุด?

อันดับ 1  อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว ตอบสูงถึง 807 คน คิดเป็น 40.65% 

อยากให้เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตของนักเรียน เช่น อาการซึมเศร้า วิตกกังวล 421 คน คิดเป็น 21.21% 

ความแตกต่างทางกายภาพ เช่น รูปร่าง ความสูง สีผิว 382 คน คิดเป็น 19.24% 

ความหลากหลายทางเพศ 282 คน คิดเป็น 14.21% 

อื่นๆ 93 คน คิดเป็น 4.69% เช่น ความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียน การโดนบูลลี่ 

ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือ ปวช.ต่างเลือกอันดับหนึ่งเหมือนกันคือ อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว และนักเรียนทุกภาคยังเลือกคำตอบว่า อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคนเหมือนกันอีกด้วย 


ทั้งนี้นักเรียนเกือบทุกภาคที่เลือกปัญหาสุขภาพจิตมาเป็นอันดับสอง ยกเว้นภาคตะวันออกที่อันดับสองคือ ความแตกต่างทางกายภาพ ส่วนเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนเพศ LGBTQ+ เลือกเป็นอันดับหนึ่ง 


สิ่งที่ไม่อยากให้ครูทำมากที่สุด?

อันดับ1 การล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง ตอบสูงถึง 447 คน คิดเป็น 22.52% 

สั่งการบ้าน 400 คน คิดเป็น 20.15% 

พูดจาหยาบคาย 290 คน คิดเป็น 14.61 % 

เลือกที่รักมักที่ชัง 280 คน คิดเป็น 14.11% 

สั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน 239 คน คิดเป็น 12.04% 

ถึงเนื้อถึงตัว 63 คน คิดเป็น 3.17% 

นินทานักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 59 คน คิดเป็น 2.97% 

ใช้ให้ทำงานในเรื่องส่วนตัว 54 คน คิดเป็น 2.72% 

รับสอนพิเศษแล้วออกข้อสอบ 42 คน คิดเป็น 2.12% 

โพสต์คลิป/ภาพถ่ายของนักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 32 คน คิดเป็น 1.61% 

อื่นๆ 79 คน คิดเป็น 3.98% เช่น นินทานักเรียนให้ครูคนอื่นหรือห้องอื่นฟัง สั่งงานในช่วงก่อนสอบหรือสั่งงานมากเกินไป 

ประเด็นนี้มีความแตกต่างกันในคำตอบระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษาพบว่า อันดับหนึ่งเป็นไม่อยากให้ครูพูดจาหยาบคาย ในขณะที่ชั้นมัธยมศึกษาเป็นล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ ขณะที่นักเรียน ปวช. มีอันดับหนึ่งเท่ากันสองเรื่องคือ การล้อเลียนเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง และการสั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน 


เมื่อพิจารณาตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักเรียนในแต่ละภาคก็จะพบว่ามีความแตกต่างกันไป เช่น นักเรียนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่อยากให้ครูสั่งการบ้านมากที่สุด และภาคตะวันตกเลือกข้อเลือกที่รักมักที่ชังมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภาคที่เหลือเหมือนกันคือ ไม่อยากให้ครูล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง


สิ่งที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด?

อันดับ1 ชั่วโมงเรียนน้อยลง ตอบสูงถึง 757 คน คิดเป็น 38.14% 

อยากใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน 386 คน คิดเป็น 19.45% 

อยากให้มีกิจกรรมประเมินครู 231 คน คิดเป็น 11.64% 

แต่งชุดนักเรียนตามเพศสภาพ 189 คน คิดเป็น 9.52% 

มีนักจิตวิทยาในโรงเรียน 185 คน คิดเป็น 8.32% 

อินเทอร์เน็ตฟรี 157 คน คิดเป็น 7.91% 

อื่นๆ 80 คน คิดเป็น 4.03% เช่น ยกเลิกฎระเบียบทรงผม คาบว่าง 

พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเลือกอันดับหนึ่งและสองตรงกัน ในขณะที่อันดับสาม นักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกอินเทอร์เน็ตฟรี ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเลือกการประเมินครู 


ขณะที่ ปวช. เลือกชั่วโมงเรียนน้อยลง เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยอยากมีกิจกรรมประเมินครู เช่น โหวตครูที่ชอบประจำปี และนักจิตวิทยาในโรงเรียน ส่วนในรายภาค เรื่องอยากให้ชั่วโมงเรียนน้อยลงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทุกภาค 


กิจกรรมที่นักเรียนไม่อยากให้มีที่สุด?

อันดับ1 กิจกรรมหน้าเสาธง ตอบสูงถึง 532 คิดเป็น 26.8% 

สมุดบันทึกความดี 328 คน คิดเป็น 16.52% 

กิจกรรมค่ายธรรมะ 276 คน คิดเป็น 13.9% 

กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ 267 คน คิดเป็น 13.45% 

กิจกรรมสวดมนต์ 220 คน คิดเป็น 11.08% 

กิจกรรมวันพ่อวันแม่ 106 คน คิดเป็น 5.34% 

เวรทำความสะอาด 98 คน คิดเป็น 4.94% 

กิจกรรมจิตอาสา 82 คน คิดเป็น 4.13% 

อื่นๆ 76 คน คิดเป็น 3.83% เช่น กิจกรรมกีฬาสี บันทึกรักการอ่าน กิจกรรม 5 ส. 


พบว่ามีความแตกต่างกันในคำตอบระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษา อันดับหนึ่งเป็นยกเลิกกิจกรรมค่ายธรรมะ ส่วนกิจกรรมหน้าเสาธงมาเป็นอันดับสอง ในขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา อันดับหนึ่งคือยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธง อันดับสองคือสมุดบันทึกความดี และนักเรียนเกือบทุกภาคเลือกให้กิจกรรมหน้าเสาธงเป็นกิจกรรมที่นักเรียนไม่อยากให้มีที่สุด 


วิชาที่อยากให้ยกเลิกที่สุด?

อันดับ1 วิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ ตอบสูงถึง 1,216 คน คิดเป็น 61.26% 

วิชาพุทธศาสนา 225 คน คิดเป็น 11.34% 

วิชาหน้าที่พลเมือง 128 คน คิดเป็น 6.45% 

วิชาชุมนุม/ชมรม 127 คน คิดเป็น 6.40% 

นาฏศิลป์ 122 คน คิดเป็น 6.15% 

พลศึกษา 40 คน คิดเป็น 2.02% 

อื่นๆ 127 คน คิดเป็น 6.4% เช่น แนะแนว คณิตศาสตร์ กระบี่กระบอง 

นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเลือกอันดับหนึ่งคือวิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด โดยแตกต่างกันที่อันดับสอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกวิชาชุมนุม/ชมรม  และมัธยมศึกษาเลือกวิชาพุทธศาสนา 


วิชาที่อยากให้มีที่สุด?

อันดับ1 คือ การเงิน การลงทุน ตอบสูงถึง 788 คน คิดเป็น 39.7% 

วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 416 คน คิดเป็น 20.96%

วิชาอีสปอร์ต 396 คน คิดเป็น 19.95% 

แดนซ์ 268 คน คิดเป็น 13.5% 

อื่นๆ จำนวน 117 คน คิดเป็น 5.89% เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิชาการป้องกันตัว แต่งหน้าทำผม ทำอาหาร 

นักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกวิชาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต ส่วนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต นักเรียนทุกภาคเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน 


การสำรวจในครั้งนี้เป็นการสอบถามนักเรียนทั่วประเทศทั้งหมด 1,985 คน ในช่วงวันที่ 9 – 11 มกราคม 2567เป็นเพศชาย 488 คน หญิง 1,247 คน LGBTQ+ 199 คน และไม่ต้องการระบุเพศ 51 คน ในจำนวนนี้แยกเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 163 คน ระดับชั้นมัธยมศึกษา 1,772 คน และ ปวช. 50 คน 


เมื่อแยกพื้นที่ของนักเรียนที่ตอบแบบสอบถามตามภาคเป็นนักเรียนในภาคกลางมากที่สุด 746 คน คิดเป็น 37.58% รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 709 คน คิดเป็น 35.72.% ภาคเหนือ 248 คน คิดเป็น 12.49% ภาคใต้ 194 คน คิดเป็น 9.77% ภาคตะวันออก 49 คน คิดเป็น 2.47% และ ภาคตะวันตก 39 คน คิดเป็น 1.9%


ดูข้อมูลการสำรวจฉบับเต็มได้ที่ rocketmedialab.co/database-student-q1-2024  


ภาพ TNNOnline 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง