รีเซต

โควิดกระตุ้นให้คนเหยียดเชื้อชาติ จากตะวันตกเหยียดเอเชีย ลุกลาม คนเอเชียกันเอง

โควิดกระตุ้นให้คนเหยียดเชื้อชาติ จากตะวันตกเหยียดเอเชีย ลุกลาม คนเอเชียกันเอง
TNN World
14 กันยายน 2564 ( 09:44 )
222

Editor's Pick: ‘ไวรัสแห่งการเหยียดผิว’ ตะวันตกก็เหยียด เอเชียกันเองยังไม่เว้น พิษโควิดกระตุ้นให้คนยิ่งเหยียดเชื้อชาติกันมากขึ้น

 


นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ชาวเอเชียทั่วโลกต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการเหยียดเชื้อชาติมากขึ้น หลายคนกล่าวว่ายังมีการเหยียดเกิดขึ้นในที่ทำงาน ซึ่งไม่ใช่แค่การคุกคามบนท้องถนน และไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป แต่ลามไปทั่วโลก

 


เหยียดเชื้อชาติโดยการ 'เลือกปฏิบัติ' ในออสเตรเลีย


ระหว่างเดือนเมษายนปีที่แล้วถึงตุลาคม 2020 ช่วงที่มีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นจาก 4,862 เป็น 27,109 รายออสเตรเลีย
ในช่วงเวลานี้ที่สถานการณ์โรคระบาดแย่ลง เกิดการเลือกปฏิบัติเพิ่มขึ้นเกือบ 15% ซึ่งในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว 66.4% ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวออสเตรเลียเชื้อสายเอเชีย โดยพวกเขาระบุว่า ประสบปัญหาการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน 

 


ทั้งนี้ คนเชื้อสายเอเชียในออสเตรเลียกำลังได้รับผลกระทบจากชั่วโมงการทำงานที่ลดลงอย่างไม่เป็นสัดส่วน เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว ซึ่งลดลงมากกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับพนักงานเชื้อชาติอื่น ๆ 

 


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียตั้งข้อสังเกตว่า มีคำอธิบายที่เป็นไปได้หลายประการ สำหรับความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ รวมถึงปรากฎการณ์การเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชียในออสเตรเลียระหว่างการทำงานนี้

 

 


ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ อาจส่งผลกระทบในระยะยาว


ตามข้อมูลของรัฐบาลสหราชอาณาจักร อัตราการจ้างงานคนที่มีเชื้อสายจีนลดลง 4.6%, การจ้างงานลดลงเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2020  ซึ่งมากกว่าการลดลงของคนเชื้อชาติอื่น ๆ เกือบสามเท่า 

 


“การมีรูปลักษณ์แบบชาวจีนหรือชาวเอเชียตะวันออก อาจทำให้ถูกปรับลดการทำงานลง ในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น พนักงานต้อนรับ" 

 


และ "การที่นายจ้างเลือกปฏิบัติ ก็อาจเป็นส่วนสำคัญของปัญหา” ฟรานเซส โอเกรดี เลขาธิการสหภาพการค้าสภาคองเกรส และฝ่ายประสานงาน สหภาพแรงงานสหราชอาณาจักร กล่าวกับสำนักข่าว CNN 

 


ในระยะยาว รูปแบบเหล่านี้อาจมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกส่วนใหญ่ยังคงติดหล่มในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่มีผลจากโรคระบาด 

 

 

 

นักการเมืองทำคนสหรัฐฯ เหยียดเอเชียหนัก


ในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตการจ้างงานอย่างมาก ปัจจุบันนี้ กลุ่มคนเชื้อสายเอเชียกำลังอยู่ในภาวะว่างงานที่แตะระดับสถิติใหม่

 


เมื่อปีที่แล้ว ไวรัสโควิด-19 ถูกตรวจพบครั้งแรกในประเทศจีน ทำให้นักการเมืองบางคนตำหนิประเทศจีนถึงโรคระบาดที่เกิดขึ้น 
ผลที่ตามมา คือ เกิดเหยื่อการเหยียดเชื้อชาติเพิ่มขึ้น โดยชุมชนของเหยื่อระบุว่า วาทกรรมของนักการเมืองเช่นนี้ ทำให้ผู้คนกล้าแสดงออกเพิ่มขึ้น ถึงความเกลียดชังต่อผู้ที่ถูกมองว่าเป็นชาวเอเชีย

 

 

"ฉันไม่สบายใจที่จะให้คุณแต่งหน้า" 


สำนักข่าว CNN ได้พูดคุยกับพนักงานจำนวนหนึ่ง ในประเทศที่มีรายงานว่ามีอคติหรือพบเห็นอคติในหลากหลายวิธีตั้งแต่เกิดโรคระบาด 

 


อคติเหล่านี้ถูกแสดงออกในวิธีต่าง ๆ ตั้งแต่การคุกคามอย่างชัดเจนไปจนถึงการล่วงละเมิดเล็ก ๆ น้อย ๆ 
เอียน หว่อง อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เขาเคยทำงานเป็นช่างแต่งหน้าพาร์ทไทม์ในมหาวิทยาลัยที่เขาทำงานอยู่ แต่วันหนึ่ง เมื่อเขาไปถึงร้านเครื่องสำอางในลอนดอน ลูกค้าบอกเขาว่า ไม่ต้องการให้เขาทำงาน

 


“พวกเขาพูดว่า 'โอ้ มันกำลังมีโรคระบาด และฉันไม่ค่อยสบายใจที่จะให้คุณแต่งหน้าให้'” เอียนเล่า
“เมื่อถามว่าทำไม พวกเขาก็ตอบว่า ‘เพราะคุณเป็นชาวจีน และไวรัสโควิดมาจากประเทศจีน คุณก็รู้ มันค่อนข้างอันตราย’”
หว่อง ซึ่งเป็นชาวจีนและมาจากฮ่องกงกล่าวว่า ลูกค้ารายนี้ดูหมิ่นจนทำให้หว่องเกือบจำไม่ได้ว่าเขาผ่านเวลานั้นมาได้อย่างไร 
หว่องเดินออกไปและมอบหมายให้ช่างแต่งหน้าคนอื่นมาแต่งหน้าลูกค้าคนนี้แทน

 


เหยียดเชื้อชาติในทุกลมหายใจ ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียน


ส่วนโมนิกา ที่มีเชื้อสายจีนและเป็นครูที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในคูเวต โดยเธอย้ายมาที่นี่เมื่อห้าปีก่อน เธอขอให้ระบุชื่อของเธอด้วยชื่อจริงเท่านั้น และไม่เปิดเผยชื่อนายจ้างของเธอต่อสาธารณะ เพราะกังวลถึงผลกระทบ 

 


โมนิกาประสบกับ “การเหยียดเชื้อชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ เกือบทุกวัน ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า โรงยิม หรือในลิฟต์” เธอกล่าว

 


“พ่อแม่ของนักเรียนขอให้ย้ายลูกของพวกเขาไปคลาสอื่น เพราะพวกเขาต้องการครูที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ฉันนี่ไงที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่” โมนิกา ซึ่งเติบโตในเวลส์ สหราชอาณาจักร กล่าว

 


ก่อนเกิดโรคระบาด ครูอีกคนเยาะเย้ยโมนิกาในการทัศนศึกษา

 


เธอบอกว่า เขาเยาะเย้ยเธอด้วยท่าทางเหยียดเชื้อชาติ โดยใช้นิ้วดึงหางตาของเขาออกไปข้าง ๆ เพื่อล้อเลียนชาวเอเชีย
และตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โมนิกาก็สังเกตเห็นอคติต่อคนจีนมากขึ้น โดยปีที่แล้ว มีนักฟิสิกส์มาให้ความรู้เรื่องโรคระบาดกับนักเรียนของเธอ แต่เขาได้พูดประโยคที่ทำให้เธอจดจำถึงทุกวันนี้ออกมา

 


“หมออธิบายว่าสำหรับโคโรนาไวรัส มันมีเหตุผลที่เรียกว่าโคโรนาอยู่ เพราะว่าไวรัสโคโรนามีต้นกำเนิดมาจากคนจีน” โมนิกาเล่าถึงเหตุการณ์ที่นักฟิสิกส์คนนั้นพูด ซึ่งหลังจากพูดจบ นักเรียนหลายคนหันไปมองโมนิกา แม้ว่าเธอจะนิ่งอยู่
“ฉันรู้สึกอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ระลึกได้ว่ามีนักเรียนหลายร้อยคนอยู่ในห้องโถง ฉันไม่ต้องการทำให้เรื่องใหญ่โต” โมนิกากล่าว

 


"แกนำโรคของคนจีนมาที่นี่ พวกแกทุกคนควรโดนฆ่า"


คุน หวง เป็นนักการเมืองในออสเตรเลีย ที่คุ้นเคยกับจดหมายที่มีเนื้อหาน่ารังเกียจ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังประหลาดใจกับจดหมายที่ส่งมายังสำนักงานของเขาในเดือนมีนาคม

 


หวงขอดูจดหมายฉบับนั้น แม้ผู้ช่วยในสภาจะบอกเขาว่า “ขอแนะนำให้คุณอย่าอ่านเลย”

 


จดหมายฉบับนั้นเต็มไปด้วยคำหยาบคายและการขู่ฆ่า รวมถึงการแสดงความเกลียดชังต่อชาวจีน โดยเรียกชาวจีนว่า "คนผิวเหลือง" และอ้างว่า "คนอย่างคุณนี่แหละที่ทำลายประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามแห่งนี้"

 


“แกนำโรคของคนจีนมาที่นี่” จดหมาย ระบุ “คนจีนอย่างพวกแกทุกคน สมควรโดนฆ่าทั้งหมดในคราวเดียว”

 


นี่เป็นประเทศของคนขาว


ข้อความดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงความไม่พอใจที่ถูกเก็บงำไว้ ซึ่งมีอยู่ในออสเตรเลียมาหลายปีแล้ว โดยในจดหมายยังกล่าวหาว่าคนจีนซื้อทุกอย่างบน "ชั้นวางของเรา” และกำลังยึดครอง “ทรัพย์สินของออสเตรเลีย”

 


จดหมายฉบับนั้นยังระบุต่อไปว่า “แกไม่ใช่คนออสเตรเลีย...ประเทศนี้สร้างขึ้นโดยชาวออสเตรเลียผิวขาว”

 


ภายหลังพบว่า มีจดหมายที่คล้ายกันส่งไปยังสมาชิกสภาเมืองที่มีเชื้อสายจีนในออสเตรเลียอีกสามคน หวงกล่าวว่าสภาท้องถิ่นของเขาได้ตอบรับคำแนะนำของตำรวจ และเพิ่มความปลอดภัยในการประชุมยิ่งขึ้น

 


หวงซึ่งทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาเขตคัมเบอร์แลนด์ในซิดนีย์ กล่าวว่าเขาตกใจและรังเกียจ แต่บางส่วนในใจของเขาก็ไม่แปลกใจกับเนื้อหาในจดหมายเลย

 


“มีประวัติศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติในออสเตรเลีย โดยเฉพาะในที่ทำงาน...และสำหรับชาวเอเชียในออสเตรเลีย เรามักรู้สึกได้ว่า มันมีกำแพงที่เราไม่สามารถก้าวข้ามได้” หวงกล่าว

 


แต่ไม่ใช่แค่ในประเทศตะวันตกเท่านั้น 


แม้แต่ในเอเชียเองก็มีหลักฐานว่ามีภาวะการรังเกียจชาวเอเชียเชื้อสายจีนหรือ Sinophobia เพิ่มขึ้น 


ในเกาหลีใต้ ผู้จัดการร้านอาหารในย่านไชน่าทาวน์ของอินชอน เมืองที่อยู่ใกล้กับกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่าธุรกิจของเธอได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงโรคระบาด โดยในช่วงเริ่มต้นของโรคระบาด เธอเล่าว่า “ฉันได้ยินว่า มีคนจำนวนมากไม่อยากไปสถานที่ที่คนจีนไปกันเยอะ ๆ”

 


ผู้จัดการคนนี้ (ไม่เปิดเผยชื่อ เพราะไม่อยากให้เกิดผลกระทบ) เล่าว่า“ธุรกิจของเราจะได้รับผลกระทบ เมื่อเกิดกับปัญหาทางการเมืองหรือปัญหาด้านสุขภาวะกับประเทศจีน และเมื่อความสัมพันธ์กับจีนแย่ลง ลูกค้าในย่านไชน่าทาวน์ก็จะมีน้อยลงด้วย”
ทั้งนี้ มีสถานประกอบการบางแห่ง จำกัดการให้บริการแก่ผู้คนตามเชื้อชาติของพวกเขา 

 


เผียว เหลียนจื้อ ซึ่งทำงานอยู่ที่ Seoul Global Center ซึ่งเป็นองค์กรที่เน้นเรื่องสิทธิของผู้อพยพ กล่าวว่า ในช่วงโรคระบาดเริ่มต้น เธอเห็นป้ายที่ร้านอาหารหลายแห่งในเมืองหลวงของเกาหลีใต้ ห้ามไม่ให้ชาวจีนเข้าใช้บริการ 


เผียวเล่าว่า เมื่อเห็นป้ายดังกล่าว เธอรู้สึกดิ่งวูบในหัวใจ ป้ายนั้นทำให้เธอนึกถึงป้ายร้านอาหารในต่างประเทศที่ระบุว่าห้ามนำสุนัขเข้า

 


ไวรัสการเหยียดเชื้อชาติกำลังแพร่ระบาดในทั่วโลก


ขณะเดียวกันในอินเดีย ซึ่งมีพรมแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจีน มีความเกลียดชังเพิ่มขึ้นในหมู่ชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคดังกล่าว โดยพวกเขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชาวจีน 

 


อาลานา โกลเม ผู้บริหารศูนย์สนับสนุนและสายด่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ผู้คนจำนวนมากจากภูมิภาคนี้ตกเป็นเป้าหมายมากขึ้น รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้วย จนต้องถูกคัดแยกตัวออกไปในช่วงการระบาดใหญ่

 


โกลเมยังระบุว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ แพทย์คนหนึ่งที่เธอคุยด้วย กล่าวว่าผู้ป่วยคนหนึ่งเรียกเธอว่า “โคโรนาไวรัส” เพียงเพราะเธอดูเหมือนชาวจีน

 


“พวกเราถูกมองว่าเป็นพาหะของไวรัส...มันไม่ใช่เพียงเชื้อไวรัสโควิดเท่านั้น แต่ยังมีไวรัสการเหยียดเชื้อชาติกำลังแพร่ระบาดในทั่วโลก”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง