รีเซต

9 ข้อที่ iPhone Air ยอมแลก เพื่อให้ได้หุ่นเพรียวบางสุดขั้ว

9 ข้อที่ iPhone Air ยอมแลก เพื่อให้ได้หุ่นเพรียวบางสุดขั้ว
EntertainmentReport1
24 กันยายน 2568 ( 08:24 )
4

เคยไหมครับที่เห็นสินค้าใหม่จาก Apple แล้วรู้สึกว่า "นี่แหละ Apple ในยุคก่อน!" เพราะดูเหมือนทุกอย่างจะถูกยอมสละเพื่อแลกกับดีไซน์ที่ดูเท่ล้ำสมัย โดยไม่สนว่าฟีเจอร์ที่หายไปนั้นสำคัญแค่ไหน หรือดีไซน์ที่ว่าเจ๋งนั้นถูกใจผู้ใช้จริงๆ หรือเปล่า เราเคยเห็น MacBook ที่คีย์บอร์ดและระบบระบายความร้อนที่ไม่ดีเท่าที่ควร, iPhone ที่งอง่าย หรือรุ่นที่สัญญาณขาดๆ หายๆ แค่เพราะเราจับเครื่องผิดวิธี

 

 

วันนี้ประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะซ้ำรอยอีกครั้งกับ "iPhone Air" ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบจนน่าทึ่ง ด้วยความหนาเพียง 5.64 มม. แต่ความบางระดับนี้แลกมาด้วยอะไรบ้าง? เราคงต้องรอให้ผู้ใช้งานจริงใช้ไปสักพักถึงจะรู้หมด แต่ตอนนี้เราจะมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ถูกตัดออกไปอย่างชัดเจน เพื่อให้ได้มาซึ่งหุ่นเพรียวบางสุดขีดนี้ครับ

 

 

1. แบตเตอรี่ที่เล็กจิ๋วและชาร์จช้ากว่าที่คิด

นี่คือประเด็นใหญ่ที่สุดที่ทุกคนต้องรู้! iPhone Air มาพร้อมแบตเตอรี่แค่ 3,149mAh ซึ่งน้อยกว่า iPhone 17 รุ่นธรรมดา (3,692mAh) และน้อยกว่า iPhone 17 Pro Max (4,832mAh) มากโข นั่นหมายถึงอายุการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ตัวเลขจาก EU Energy Label จะระบุว่าใช้งานได้ 40 ชั่วโมง ซึ่งต่างจากรุ่นธรรมดาแค่ชั่วโมงเดียว แต่สำหรับผู้ใช้งานหนัก บอกเลยว่าไม่น่าจะรอดพ้นวันแน่

นอกจากความจุที่น้อยกว่าแล้ว การชาร์จก็ยังช้ากว่าด้วย! ในขณะที่ iPhone 17 รุ่นธรรมดาและรุ่น Pro Max สามารถชาร์จถึง 50% ได้ใน 20 นาที แต่ iPhone Air ต้องใช้เวลาถึง 30 นาที ทั้งที่ความจุแบตเตอรี่ก็น้อยกว่าแท้ๆ

2. หน้าจอที่เล็กลงสวนทางกับเทรนด์

ในยุคที่จอใหญ่คือคำตอบ iPhone Air กลับมาพร้อมจอขนาด 6.5 นิ้ว ซึ่งเล็กกว่า iPhone 16 Plus (6.7 นิ้ว) และเล็กกว่า iPhone 16 และ 17 Pro Max (6.9 นิ้ว) นี่อาจไม่ใช่การประหยัดพื้นที่ แต่เป็น "ข้อจำกัดทางเทคนิค" ที่ Apple แก้ไม่ได้ เพราะตัวเครื่องบางเฉียบจนอาจไม่แข็งแรงพอ หากใส่จอที่ใหญ่กว่านี้ก็มีโอกาสที่จะงอได้ง่ายกว่าเดิม แม้จะใช้เฟรมไทเทเนียมซึ่งแข็งแรงกว่าอะลูมิเนียมก็ตาม

 

 

3. กล้องหลักที่ถูกลดสเปก

สำหรับโทรศัพท์ราคาเกือบ 40,000 บาท การมีกล้องหลังแค่ตัวเดียวอาจถือว่า "งานหยาบ" ไปหน่อยครับ! รวมถึงกล้องหลักของ iPhone Air ไม่ใช่กล้องที่ดีที่สุดของ Apple เพราะใช้เซ็นเซอร์เดียวกับ iPhone 17 รุ่นธรรมดา ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเซ็นเซอร์ในรุ่น Pro/Pro Max อย่างชัดเจน (1/1.56” เทียบกับ 1/1.28”) ทำให้คุณภาพของภาพและวิดีโอด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

4. ไม่มีกล้อง Telephoto

สิ่งที่หายไปอย่างชัดเจนคือกล้อง Telephoto ที่ทำให้สามารถซูมแบบ Optical ได้ iPhone Air มีแค่การซูม 2x แบบไม่สูญเสียรายละเอียดจากเซ็นเซอร์ 48MP เท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นคุณภาพของภาพก็จะเริ่มลดลงทันที

5. ไม่มีกล้อง Ultra-wide

แม้จะไม่ได้ใช้บ่อย แต่กล้อง Ultra-wide ก็เป็นเลนส์ที่ให้มุมมองที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และบน iPhone ยังใช้เพื่อถ่ายภาพแบบ Macro อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ iPhone Air ไม่มีเลยครับ

 

 

6. ชิปเซ็ต “Pro” ที่ไม่ได้ Pro จริงๆ

Apple อ้างว่า iPhone Air มาพร้อมชิปเซ็ต A19 Pro แบบเดียวกับ iPhone 17 Pro/Max แต่จากการวิเคราะห์สเปกเบื้องต้นพบว่า ชิปใน Air มีแกน GPU แค่ 5 แกน ในขณะที่รุ่น Pro/Max มีถึง 6 แกน! ถึงแม้จะมี RAM เท่ากันที่ 12GB แต่การตัดแกน GPU ออกไปก็ทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลกราฟิกลดลง และอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คำว่า "Pro" ไม่ได้ทรงพลังอย่างที่ควรจะเป็น

7. พอร์ต USB 2.0 สุดเชื่องช้า

พอร์ต USB-C บน iPhone Air ยังคงเป็นมาตรฐาน USB 2.0 ซึ่งรองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ต่ำมากๆ ในขณะที่รุ่น Pro/Pro Max มาพร้อมพอร์ต USB 3.0 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์วิดีโอ ProRes ขนาดใหญ่ไปยัง External SSD ได้อย่างรวดเร็ว การที่ Air ไม่มีคุณสมบัตินี้ ทำให้การทำงานที่ต้องใช้ไฟล์ขนาดใหญ่เป็นเรื่องยุ่งยากไปโดยปริยาย

 

 

8. เหลือลำโพงแค่ตัวเดียว!

iPhone Air มีลำโพงแค่ตัวเดียวที่ด้านบนของเครื่อง ส่วนด้านล่างไม่มีลำโพงอีกตัวเหมือนรุ่นอื่นๆ คาดว่าพื้นที่ที่จำกัดแค่ 5.64 มม. อาจไม่เพียงพอสำหรับการติดตั้งลำโพงตัวที่สอง หรือ Apple อาจเลือกที่จะใช้พื้นที่นั้นเพื่อยัดแบตเตอรี่ที่เล็กอยู่แล้วเข้าไปแทน เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถเปิดใช้งานได้

9. “กันชน” กลับมาแล้ว!?

“Bumper” หรือกันชนที่เคยเป็นอุปกรณ์จำเป็นใน iPhone 4 เพื่อแก้ปัญหาสัญญาณหายตอนจับเครื่อง ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้งใน iPhone Air ซึ่ง Apple ถึงกับทำ Bumper ที่ทำจากโพลีคาร์บอเนตเสริมความแข็งแรงเพื่อเพิ่มการป้องกันขอบให้กับมือถือที่บางเฉียบรุ่นนี้ นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Apple เองก็ยังกังวลเรื่องความแข็งแรงและความทนทานต่อการตกหล่นของมันเช่นกัน

 

 

โดยสรุปแล้ว iPhone Air คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความพยายามที่จะทำลายขีดจำกัดด้านดีไซน์ แต่ต้องแลกมาด้วยการตัดฟีเจอร์สำคัญออกไปมากมาย ตั้งแต่แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้สั้นลง, ความเร็วในการชาร์จที่ลดลง, กล้องที่ถูกลดสเปกลงจนเหลือแค่ตัวเดียว, และการตัดฟีเจอร์สำคัญอื่นๆ ที่ผู้ใช้หลายคนต้องการออกไป ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกยอมสละเพื่อแลกกับความบางเฉียบที่ Apple มองว่าเป็น "ความสวยงาม" แต่คำถามคือความสวยงามนั้นคุ้มค่าหรือไม่? ทำให้มือถือรุ่นนี้อาจไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ มองว่าความบางและความสวยงาม คือคำตอบของตัวเอง iPhone Air ก็อาจเป็นคำตอบของเพื่อนๆ ก็เป็นไปครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง