รีเซต

ผู้นำอังกฤษก้มหน้ารับผิด เสียชีวิตโควิดพุ่งเกินแสน

ผู้นำอังกฤษก้มหน้ารับผิด เสียชีวิตโควิดพุ่งเกินแสน
TNN ช่อง16
27 มกราคม 2564 ( 13:33 )
68
ผู้นำอังกฤษก้มหน้ารับผิด เสียชีวิตโควิดพุ่งเกินแสน

วันนี้ ( 27 ม.ค. 67 )ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอังกฤษมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป แน่นอนว่าหลายฝ่ายชี้นิ้วโทษรัฐบาลของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ 


แม้จะเร็วเกินไปถ้าจะตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุให้อังกฤษมียอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงเกินกว่า 1 แสนคน หรือมากที่สุดในยุโรป  และมากที่สุดในโลก หากเทียบจำนวนผู้เสียชีวิตต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน




คาดว่าหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุดลงคงต้องมีการไต่สวนสาธารณะ แต่เมื่อนำข้อเท็จจริงมารวมกัน ก็พอจะเห็นภาพได้บ้าง หลายฝ่ายชี้นิ้วไปที่การบริหารจัดการของรัฐบาลอังกฤษ จากนโยบายเหล่านี้

 

-    ตัดสินใจล็อกดาวน์ช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป  หลายคนมองว่า ภูมิประเทศที่เป็นเกาะของอังกฤษน่าจะทำให้ควบคุมพรมแดนได้ง่าย เหมือนเกาะอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์  ที่ตัดสินใจล็อกดาวน์และควบคุมพรมแดนทันที ก่อนที่ไวรัสจะระบาดไปทั่ว   


อังกฤษสั่งล็อกดาวน์ทั่วประเทศครั้งแรกเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว หลังจากมีผู้เสียชีวิตมากกว่า  20,000 คน จึงถูกมองว่าล่าช้าและยกเลิกล็อกดาวน์เดือนกรกฎาคม แต่ก็เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เดือนพฤษภาคมซึ่งถูกมองว่าเร็วเกินไป  และกว่าจะออกมาตรการกักตัวสำหรับนักเดินทางบางประเทศที่ไปเยือนอังกฤษ ก็เดือนมิถุนายนแล้ว  

 

- การเริ่มทดสอบหาเชื้อและติดตามผู้ติดเชื้อค่อนข้างติดๆ ขัดๆ 

 

- ไม่มีการป้องกันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา เพราะในการระบาดครั้งแรกมีผู้เสียชีวิต 56,448 คน เป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้านพักคนชราถึง 17,639 คน หรือประมาณ 31.2%   ส่วนการระบาดระลอกสอง ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนเป็นต้นมา จากยอดผู้เสียชีวิต 46,386 คน เป็นผู้สูงอายุที่อาศัยในบ้านพักคนชรา 8,496 คน หรือ 18.32%

 

- แพทย์โทษว่า โครงการ Eat out to help out ของรัฐบาล ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมอบส่วนลด 50% ให้ประชาชนที่ไปรับประทานอาหารในช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หลังยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์รอบแรก ส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จนมีการแพร่ระบาดระลอกสองในเดือนกันยายน




ขณะที่บางส่วน โทษว่าเกิดจากปัญหาที่หยั่งรากลึกลงไปในสังคมของอังกฤษ 

 

- ที่มีระบบสาธารณสุขที่ย่ำแย่ และมีคนที่เป็นโรคอ้วนจำนวนมาก มากเป็นอันดับ 6 ของโลก หรือ 28% รองจากสหรัฐฯ เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลียและโปรตุเกส  และยังมีอัตราผู้ป่วยด้วยโรคประจำตัวอื่นๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวนมาก เช่น โรคไตและระบบทางเดินหายใจ ก็มีผู้โทษว่า เพราะความเหลื่อมล้ำทางด้านสาธารณสุขของประเทศนั่นเอง

 

-  อังกฤษยังเป็นศูนย์การเดินทางทางอากาศของโลกมีการเดินทางเข้าออกอย่าคึกคัก  การวิเคราะห์ทางพันธุกรรม แสดงให้เห็นว่าไวรัสถูกนำเข้าไปในอังกฤษ อย่างน้อย 1,300 ครั้ง ส่วนใหญ่มาจากฝรั่งเศส สเปนและอิตาลี ภายในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว 

 

-    นอกจากนี้อังกฤษมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและมีประชาการอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น ก็เป็นช่องโหว่ที่ทำให้ไวรัสแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น

 

สถิติการเสียชีวิตในอังกฤษ

 

มีนาคม ปีที่แล้ว 1,000 คน

เมษายน  25,000 คน

พฤศจิกายน  50,000 คน

ธันวาคม       75,000 คน 

 

ล่าสุดเสียชีวิต 100,162 คน และมีผู้ติดเชื้อสะสม เกือบ 3 ล้าน 7 แสนคนแล้ว ช่วงแรกๆ ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19  คณะมนตรีและที่ปรึกษาคนสำคัญของผู้นำอังกฤษถูกกล่าวหา ว่าปล่อยให้มีการแพร่ระบาดเพราะต้องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น

 

ล่าสุด นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น 

 

ผู้นำอังกฤษบอกว่า เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย และในฐานะนายกรัฐมนตรีเขาต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับทุกสิ่งที่รัฐบาลทำ   พร้อมกับบอกว่า รัฐบาลได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้แล้ว และยังคงทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่ดลดการสูญเสียชีวิตและความเจ็บปวด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากมากและเป็นวิกฤตที่ยากมากสำหรับประเทศ เหมือนกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

 

ด้านศาสตราจารย์คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อังกฤษ ที่ปรึกษาด้านการรับมือโควิดของรัฐบาล บอกว่า เขาขอย้ำสิ่งที่พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า เราจะเห็นจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า จนกว่าวัคซีนจะแสดงประสิทธิภาพให้เห็น น่าจะหมายถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้น และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือด้วยการอยู่กับบ้าน และออกไปข้างนอกเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

 


อังกฤษกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการใช้ฉุกเฉินวัคซีนต้านโควิด 19 ของบริษัทไฟเซอร์และไบโอออนเทค ตามมาด้วยแอสตราเซเนกา และโมเดอร์นา 

 

เริ่มภารกิจฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงทุกคนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป  เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับไวรัสและเจ้าหน้าที่สวัสดิการสังคมและเจ้าหน้าที่ดูแลบ้านพักคนชรา มีแผนให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีผู้ได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว 6,853,327 คน และโดสที่ 2 จำนวน 472,446 คน

 

รัฐบาลอังกฤษ แถลงว่า อัตราการฉีดวัคซีนและความสำเร็จในการฉีดวัคซีน เป็นกุญแจสำคัญที่จะสามารถผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มได้


เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง