หุ้นไทยภาคบ่ายคาดแกว่งออกข้าง มองตลาดขาดปัจจัยใหม่กระตุ้น

โดยกลยุทธ์ยังชอบหุ้น Domestic Consumption อาทิ CRC, OR, COM7,  KTB และ BEC 

ส่วนประเด็นที่ติดตามสัปดาห์หน้า 1) การรายงานยอดส่งออก/นำเข้าไทยเดือน ต.ค.คาดขยายตัว 6.0% และ 11.0% ตามลำดับ 2) การประชุม ครม.ในวันที่ 29 พ.ย. ต่อการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3) การประชุม กนง.วันที่ 30 พ.ย. คาดปรับขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25% ไปที่ 1.25%  4) การรายงานตัวเลข ISM ภาคผลิตเดือน พ.ย.สหรัฐฯในวันที่ 1 ธ.ค. และการรายงานตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐฯในวันที่ 2 ธ.ค.65 

ด้านบล.กสิกรไทย มีมุมมองต่อแนวโน้มตลาดหุ้นภาคบ่ายดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,615-1,630 จุด ซึ่งังคงมุมมองบวกต่อดัชนีต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกปี 2566 ตามเดิม ประเมินดัชนีจะแกว่งตัวขึ้นไปจนถึงก่อนการประชุมเฟดช่วงกลางเดือน ธ.ค. ประเมินแนวต้าน 1,666 จุด และ 1,700 จุดในช่วงที่เหลือของปี และหากดัชนีย่อลงมามองเหมือนเดิมคือ คาดไม่ทำจุดต่ำสุด หรือคาดไม่หลุด 1,550 จุด ประเมินแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,605 จุดเป็นแนวรับแรก เหตุผลทั้งทางปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเห็นการเติบโต 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นเน้นกลุ่ม Domestic Play อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ CK  กลุ่มสื่อ อาทิ PLANB กลุ่มที่แนวโน้มกำไรงวดไตรมาส 4/65 ออกมาเติบโต  4Q22 โต และปีหน้าโตเกิน 15% อาทิ SNNP, PTG, CRC, PLANB, EGCO, GPSC, HENG และ BE8 ส่วนหุ้นกลุ่่มที่แนะนำชะลอลงทุน อาทิ กลุ่มส่งออกอาหาร ยกเว้นส่งออกอาหารสัตว์ กลุ่มปิโตรเคมี 

บล.โกลเบล็ก คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายยังแกว่งตัวออกข้าง โดยปริมาณซื้อขายเริ่มเบาบางลง เนื่องจากยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามา ขณะที่ค่าสัญญาณ MACD, RSI ชี้ทิศทางที่ขัดแย้งกัน ทำให้ดัชนีมีโอกาสพักตัวต่อเนื่อง โดยมีแนวรับที่ 1,615 จุด แนวต้านที่ 1,626 จุด 

ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นภาคเช้า ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการซื้อขาย ลบราว 6 จุด จากที่ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด เพิ่มสูงขึ้นเป็น Sentiment ลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดัชนีพักเที่ยงปิดตลาดที่ 1,620.17 จุด ลบ 4.79 จุด หรือ 0.29% มีมูลค่าการซื้อขาย 21,355 ล้านบาท