"กัลยา" เผย กมธ. ดีอีเอส เชิญ “สำนักงาน กสทช.” แจงกรณีออกใบอนุญาตดาวเทียม “ไทยคม”
“กัลยา” เผย กมธ. ดีอีเอส เชิญ “สำนักงาน กสทช.” แจงกรณีออกใบอนุญาตดาวเทียม “ไทยคม” ตัวแทนแจงขั้นตอน-ระเบียบ-กรอบกฎหมาย เตรียมเชิญบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ให้รายละเอียดหลังการรรับมอบ Thaicom 4 และ Thaicom 6 หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. น.ส. กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส. สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา กมธ. ได้มีการประชุมประเด็นการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสาร ตำแหน่งวงโคจร 120 องศา ให้กับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (ไทยคม) โดยมีการประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเร็นซ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ซึ่งเราได้ถามถึงที่มาที่ไปของการออกใบอนุญาตดังกล่าวว่ามีความถูกต้อง เป็นธรรม หรือไม่ อย่างไร แล้วการดำเนินการหลังจากหมดสัญญาสัมปทาน การบริหารจัดการจะเป็นอย่างไร เนื่องจากทราบว่าจะเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามาดูแลแทนโดยทางผู้แทนจากสำนักงาน กสทช. ชี้แจงว่า ตามกฎหมายในขณะนั้น กสทช. ได้พิจารณาและออกใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ประเภทการให้บริการดาวเทียมสื่อสารแก่ไทยคม เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 เป็นไปตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งบัญญัติให้มีองค์ของรัฐที่เป็นอิสระทําหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคม
น.ส.กลัยา กล่าวว่า โดยการดําเนินการดังกล่าวต้องคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะอื่น และการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมถึง พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ 2553 มาตรา 4 บัญญัติให้ “กิจการโทรคมนาคม” หมายความรวมถึงกิจการซึ่งให้บริการดาวเทียมสื่อสาร ประกอบกับ พรบ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 7 กําหนดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมตามลักษณะและประเภทที่กําหนดจะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจาก กสทช. ดังนั้น จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การออกใบอนุญาตและกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคม รวมถึงการอนุญาตสำหรับการให้บริการดาวเทียมสื่อสาร จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กสทช. นอกจากนี้ การออกใบอนุญาตฯ ดังกล่าวยังอยู่ภายใต้ขอบเขตและถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการให้บริการดาวเทียมสื่อสาร ณ ตำแหน่งงวงโคจร 120 องศาตะวันออก เป็นการขออนุญาตใหม่ภายใต้อำนาจหน้าที่ ของ กสทช. ตาม พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ 2553 โดยคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีฯ นำเสนอ จึงอยู่นอกสัญญาสัมปทานที่มีอยู่และต้องอยู่ภายในกฎหมายที่ออกใหม่ (ในขณะนั้น) ภายใต้การบริหารจัดการโดยบริษัทที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งการให้ใบอนุญาตก็ไม่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาสัมปทาน แต่อย่างใด เนื่องจากได้มีการกำหนดเงื่อนไขท้ายใบอนุญาตฯ ให้ไทยคม ต้องคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศที่มีอยู่ด้วย
ประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า ตัวแทน สำนักงาน กสทช. ชี้แจงอีกว่า ส่วนข้อสงสัยที่ว่าการพิจารณาและออกใบอนุญาตฯ ดังกล่าว เหตุใด จึงไม่เปิดให้มีการขออนุญาตเป็นการทั่วไป เป็นการเปิดให้เฉพาะไทยคม รายเดียว หรือไม่ นั้น การพิจารณาออกใบอนุญาตฯดังกล่าวเป็นไปตามที่ไทยคม ได้ยื่นคำขอซึ่งเป็นไปตามประกาศและหลักเกณฑ์ที่ กสทช. ประกาศกำหนดไว้เป็นการทั่วไป ที่ออกตามมาตรา 7 และมาตรา 8 ของ พรบ. การประกอบกิจการ โทรคมนาคมพ.ศ. 2544 และการที่ กทค. อนุมัติออกใบอนุญาตฯ ในครั้งนี้ ยังมีผลเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ เนื่องจากทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาสิทธิวงโคจรดาวเทียมไว้ได้ ในขณะที่ไทยคม ได้ดําเนินการภายใต้มติคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่อนุมัติให้ไทยคมดำเนินการรักษาสิทธิ วงโคจรและจะสร้างดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นตามข้อกำหนดของ ITU และให้มาขอใบอนุญาตตามกฎหมายของ กสทช. หาก กทค. ไม่ดำเนินการอนุมัติใบอนุญาตฯ ให้กับไทยคม จะส่งผลทำให้ไทยคม ไม่สามารถดำเนินการติดต่อประสานงานเพื่อจัดหาดาวเทียมอื่นมาไว้ที่วงโคจรเป็นการชั่วคราวได้ และหากไม่มีการออกใบอนุญาตฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามหลักของ ITU ประเทศไทยก็จะเสียสิทธิวงโคจรดาวเทียมที่ 120 องศาตะวันออกที่ได้รักษาไว้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
“ส่วนการออกใบอนุญาตฯ จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้หรือไม่ ไทยคม ต้องรับภาระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามกฎหมาย หรือไม่ อย่างไร ผู้แทนสำนักงาน กสทช. ชี้แจงว่า เรื่องการพิจารณาออกใบอนุญาตฯ ให้กับไทยคม ไม่มีผลเป็นการยกเว้นภาระค่าธรรมเนียมตามที่กฎหมายกำหนดใด ๆ ทั้งสิ้น โดยไทยคม ยังมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินรายได้จากการให้บริการโทรคมนาคม เพื่อนำไปใช้ในการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคมทุกประการ รวมทั้ง ได้มีการกำหนดเงื่อนไขท้ายใบอนุญาต โดยมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. พิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเพื่อให้บริการโครงข่ายดาวเทียมสื่อสารสำหรับผู้รับใบอนุญาตแบบที่สามให้สอดคล้องกับกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ด้วย โดยไทยคม ยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข กฎ ระเบียบที่คณะกรรมการจะประกาศกำหนดในอนาคต (Subject to Future Regulations) ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแล ประโยชน์สาธารณะ และเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ต่อไปอีกด้วย ดังนั้น การออกใบอนุญาตฯ จึงไม่ได้ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ หรือไม่ต้องรับภาระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามกฎหมายแต่อย่างใด”น.ส.กัลยา กล่าว
ด้านนายสรอรรถ กลิ่นประทุม กมธ. กล่าวว่า จากที่ตามข่าวเห็นว่า การบริหารกิจการดาวเทียม Thaicom 4 และ Thaicom 6 ที่จะหมดสัญญาเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 โดยบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จะเข้าดำเนินการดูแลแทนไทยคม ซึ่งยังไม่ทราบแนวทางการเตรียมความพร้อมของทางบริษัท โทรคมฯ ที่จะทำให้การส่งมอบเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่สร้างผลกระทบกับผู้บริโภค ไม่ควรเกิดกรณีจอดำเกิดขึ้น ควรมีกระบวนการแจ้งการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะได้มีการเตรียมตัวรองรับการเปลี่ยนผ่าน โดยจะต้องให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายและบริหารจัดการให้บริการต่างๆ ยังเดินหน้าต่อไปได้
น.ส.กัลยา กล่าวว่า การให้บริการดาวเทียมสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่งและเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ในครั้งนี้มีทางผู้แทนสำนักงาน กสทช. เข้ามาชี้แจงเพียงหน่วยงานเดียว ซึ่งทาง กมธ. เองยังมีข้อสงสัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น อีกทั้งไทยคม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ที่ยังไม่ได้ความชัดเจนในเรื่องการแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ผู้มีการส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบล่วงหน้าก่อนสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง รวมทั้งแผนการเข้าดำเนินการหลังสัญญาของบริษัท โทรคมฯ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างไม่สะดุดติดขัด ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งสองเรื่องควรมีทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น กมธ. จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาประชุมกันอีกครั้ง