รีเซต

'บิ๊กตู่' บ่นเจ็บหู หลังสภาจบ ย้ำเห็นด้วยแก้รธน. ไม่ขัดตัดอำนาจเลือกนายกฯ โยนสภาหารือ

'บิ๊กตู่' บ่นเจ็บหู หลังสภาจบ ย้ำเห็นด้วยแก้รธน. ไม่ขัดตัดอำนาจเลือกนายกฯ โยนสภาหารือ
มติชน
28 ตุลาคม 2563 ( 14:16 )
114

“บิ๊กตู่”ลั่น สบายใจแต่ไม่สบายกายเพราะเจ็บหู “ชี้” สภาไทยไม่ควรเหมือนกับสภาต่างประเทศ “ย้ำ” เห็นด้วยกับการแก้ รธน.-ตั้ง กก.หาทางออก ไม่ขัดตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ โยนหารือในสภา

เมื่อเวลา 12.50 น. ที่ทำเนียบฯ ภายหลังการประชุม ครม. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเนือยๆ เพียง 6 นาที ว่า “ไม่เหนื่อย ไม่เคยเหนื่อยอยู่แล้ว “
ทั้งนี้ ครั้งแรกเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าสบายใจขึ้นหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ไม่ตอบ แต่เมื่อถามย้ำอีกครั้ง พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “สบายใจ แต่ไม่สบายกาย เพราะเจ็บหู”

ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์สอบถามผู้สื่อข่าวว่า ได้ดูถ่ายทอดสดการประชุมสภาหรือไม่ และถ้าดูก็อย่าถามอะไรตนมากเพราะพูดไปหมดแล้ว วันนี้ถามว่าอยากพูดอะไรผ่านสื่อบ้างหรือไม่ ที่ผ่านมาพูดไปทุกครั้งและยืนยันหลายครั้งแล้ว รวมถึงในการประชุมสภาว่าตนเอง จำเป็นต้องนำพาประเทศต่อไปให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ในทุกเรื่องโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัญหาการเมืองที่เกิดในครั้งนี้คงไม่ใช่ตนและรัฐบาลฝ่ายเดียว ทุกคนต้องร่วมมือกันหันหน้ามาเจรจาพูดคุยกันอย่างประนีประนอมและสันติวิธีที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะนี่คือประเทศไทยและทุกคนก็คือคนไทย จึงไม่เกลียดใครทั้งสิ้นไม่ว่าใครจะว่าร้ายอะไรก็ตาม ตนก็รับฟังและอดทน เพราะเป็นนายกฯ ต้องอดทนจะโมโหอะไรมากไม่ได้ และไม่โกรธง่าย พูดจาต้องไพเราะ วันนี้ตนก็พูดเพราะกว่าหลายๆ คนที่ได้ยินมาในขณะนี้

เมื่อถามถึงข้อเสนอใดบ้างจากที่ประชุมรัฐสภา ที่รัฐตอบรับ และจะดำเนินการให้เป็นรูปธรรม เพื่อหาทางออกจากวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทางออกมีอยู่แล้ว ก็ขอให้เจอทางออกที่ว่านั้น ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรที่เราแก้ไม่ได้ จึงขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจว่าเราจะต้องช่วยกันเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้กับประเทศของเรา ซึ่งไม่ใช่ตนคนเดียว แต่ทุกคนต้องร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม ในการประชุมทั้ง 2 วันที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณประธานรัฐสภา และสมาชิกทุกคนที่มีการพูดจาอภิปรายหารือกันโดยสงบเรียบร้อย แม้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นบ้าง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสภาประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนต้องพิจารณาแล้วกันว่ามีความเหมาะสมอย่างไร ซึ่งสภาประเทศไทยไม่ควรเหมือนต่างประเทศที่ทำกันในหลายอย่างที่เป็นพฤติกรรมของต่างประเทศ

“เรื่องที่ผมสรุปได้จากการประชุม 2 วัน มีหลายอย่าง ที่ผมเห็นด้วย เรื่องที่สำคัญคือผมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ประกาศไปแล้ว ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของสภา เมื่อเราเห็นชอบให้มีการแก้ไขแต่หลายอย่าง ต้องผ่านหลายกระบวนการ ซึ่งรัฐสภาก็ต้องทำตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไปด้วย เพราะยังมีผลบังคับใช้จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ อยู่ดีๆ จะไปตั้งกฎกติกาใหม่ทันที ตามเวลาที่ต้องการเป็นไปไม่ได้เพราะเราอยู่ด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ นอกจากนี้ส่วนที่จะให้ส.ว.เลือกนายกฯหรือไม่เลือก ก็แล้วแต่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนี้ ถ้าจะไม่ให้เลือกผมก็ได้ ผมไม่ได้ขัดข้องอะไร ก็เป็นเรื่องของการหารือในรัฐสภา” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยในการ เสนอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาหาทางออกจากแนวทางที่เสนอในรัฐสภา ซึ่งเรื่องนี้ได้หารือในที่ประชุม ครม.แล้ว โดยสภาจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาจากหลายฝ่าย ทั้งในส่วนของรัฐสภา ส.ส. ส.ว. กลุ่มต่างๆ ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งขอให้หารือกันโดยสงบก็แล้วกัน และหาข้อเท็จจริง ออกมาให้ได้ในลักษณะที่ดูทั้งบริบทของการเมืองประเทศไทยที่ประกอบด้วยหลายส่วนหลายฝ่าย ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการชุดนี้จะถูกครอบงำหรือไม่นั้น ตนมองว่าพูดเช่นนี้ไม่ได้ ต้องให้เกียรติสภา เพราะเป็นความเห็นของสภา และเป็นความเห็นของ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติเสนอขึ้นมา รวมถึง ส.ว. อย่างนั้นต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าตั้งธงกันไว้แบบนี้ก็ไม่ชอบและไม่เชื่อใจกันหมด ดังนั้นต้องเชื่อใจกันสักครั้ง ถ้าไม่เชื่อใจอะไรกันเลยก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ว่าสัมภาษณ์ว่า นายกฯจะอยู่จนครบวาระ 4 ปี แสดงว่าไม่รับข้อเสนอของผู้ชุมนุมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ทำไมผมต้องตอบ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเข้ามาด้วยอะไรก็ว่ากันไปจะออกด้วยอะไรก็ว่ากันมา และไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต เพราะรัฐบาลไม่ได้หยุดแค่รัฐบาลผม กระบวนการเลือกตั้งกระบวนการรัฐธรรมนูญต่างๆ มีอยู่แล้ว”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง