ส่องเศรษฐกิจไทยในยุค "ทรัมป์ 2.0" ท้าทาย หรือ โอกาส?
เมื่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปรากฏชัดว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" จะกลับมานั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง ทำเอาทั่วโลกต้องจับตาว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะประเทศไทยที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก
ถ้าย้อนไปดูนโยบายทรัมป์ในสมัยแรก เขาเน้นหนักเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯ จนเกิดสงครามการค้ากับจีน คราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพราะทรัมป์ประกาศชัดว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ 10-20%
น่าสนใจว่าฝั่งรัฐบาลไทยมองเรื่องนี้ต่างกัน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ มองบวกว่าไทยจะได้ประโยชน์ เพราะสหรัฐฯ จะหันมานำเข้าสินค้าจากไทยแทนจีน โดยเฉพาะอาหารและสินค้าไฮเทค ถึงขนาดคาดว่าจะดันส่งออกโตได้ 4-5% ในอีกไม่กี่ปี
แต่ EXIM BANK กลับมองว่าเราอาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะสินค้าที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีจีนส่วนใหญ่เป็นพวกสมาร์ทโฟน เสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งไทยไม่ได้เป็นฐานผลิตอยู่แล้ว แถมยังแข่งขันสู้เวียดนามหรือเม็กซิโกไม่ได้ ซ้ำร้ายอาจโดนสินค้าจีนทะลักเข้ามาตลาดไทยอีก
ที่น่าห่วงไม่แพ้กันคือเรื่องค่าเงิน หลังประกาศผลเลือกตั้ง เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแรงที่สุดในรอบ 3 ปี กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลง แบงก์ชาติถึงกับต้องออกมาเตือนว่าค่าเงินจะผันผวนต่อเนื่อง
แม้ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี จะมองโลกในแง่ดีว่าทรัมป์เป็นคนเน้นเรื่องเศรษฐกิจ น่าจะช่วยการส่งออกไทยได้ แต่ในความเป็นจริง ไทยคงต้องระวังตัวให้มาก
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ธุรกิจไทยควรทำประกันความเสี่ยงทั้งด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการส่งออก พร้อมกับรักษามาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แม้สหรัฐฯ อาจถอนตัวจากข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศ
ที่สำคัญที่สุด ไทยต้องเดินสายกลาง รักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนให้ดี ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าสำคัญของเรา การวางตัวเป็นกลางจะช่วยให้ไทยรอดพ้นจากผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต
ยุคทรัมป์ 2.0 จึงเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่ต้องเดินให้รอดท่ามกลางสมรภูมิการค้าระหว่างมหาอำนาจ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้ได้มากที่สุด
ภาพ โดนัลด์ ทรัมป์