รีเซต

"ทรัมป์" ลุ้นตัวโก่ง ศาลสูงจะตัดสินล้ม "ภาษีการค้า" หรือไม่ ? หากแพ้คดี ต้องชดใช้อ่วม

"ทรัมป์"  ลุ้นตัวโก่ง ศาลสูงจะตัดสินล้ม "ภาษีการค้า" หรือไม่ ? หากแพ้คดี ต้องชดใช้อ่วม
TNN ช่อง16
14 พฤศจิกายน 2568 ( 08:00 )
9

"ทรัมป์" นับถอยหลัง ศาลสูงจะตัดสินล้ม"ภาษีการค้า"หรือไม่? เตือนถ้าแพ้ คือ หายนะของชาติ สหรัฐฯต้องจ่ายชดใช้อ่วม


คดีประวัติศาสตร์ ที่จะสะเทือนโลก นั่นคือ การตัดสินว่าภาษีทรัมป์ ที่เรียกเก็บไปยังทุกชาติ รวมถึงไทยเรา จะกลายเป็นโมฆะจะต้องยกเลิกหรือไม่  ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์มั่นใจ ตอบว่า เขามีแผนสำรองเอาไว้แล้ว  


ภาษีการค้าของทรัมป์ อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะทรัมป์อาจจะไม่มีอำนาจในการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff ไปยังชาติต่างๆ แต่ทั้งหมดนี้ รอคำตัดสินจากศาลสูงของสหรัฐฯ ซึ่งศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้เริ่มรับฟังการแถลงด้วยวาจาและเปิดการไต่สวนการไต่สวนตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 


และนี่คือคดีประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่ของการเมืองสหรัฐอเมริกา แต่จะสะเทือนไปในระดับโลก  ในการลุ้นว่าสุดท้ายแล้ว มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังจากที่มีการยื่นฟ้องและคัดค้านมาตรการนี้ของรัฐบาลทรัมป์ โดยภาคธุรกิจและ 12 มลรัฐที่นำโดยพรรคเดโมแครต


ซึ่งก่อนหน้านี้ในชั้นศาลอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยชี้ชัดว่าทรัมป์ผิด และสั่งให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของเขา โดยระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายที่เขากล่าวอ้าง นั่นคือ กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) หรือภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ปี 1977


โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการควบคุมธุรกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภทได้อย่างกว้างขวาง เมื่อมีการประกาศ "ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ" และในกรณีนี้ ทรัมป์ได้ประกาศให้ "การขาดดุลการค้าของสหรัฐมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024" เป็นภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯมีการขาดดุลการค้าอย่างยาวนานมาโดยตลอดทุกปีนับตั้งแต่ปี 1975


สำหรับภาษีดังกล่าวได้มีการประกาศใช้ไปแล้วทั่วโลกตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา และรวมถึงไทยด้วยเช่นกันที่ไม่รอด เราโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 19% และยังพ่วงมาด้วยข้อตกลงทางการค้าอีกมากมาย เนื่องจากเราอยู่ในฐานะที่การค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ก็คือ ประเทศจีน ที่ไม่ต่างจากการทำสงครามทางการค้า ด้วยอัตราภาษีสูงกว่า 100% 


ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาปกป้องเรื่องการใช้มาตรการภาษีของตนเอง โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐฯถูกเอาเปรียบจากประเทศคู่ค้ามานานหลายปี พร้อมย้ำว่ามาตรการภาษีจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสหรัฐ 


ทรัมป์กล่าวว่า ถ้าเราไม่มีภาษี เราก็ไม่มีความมั่นคงแห่งชาติ และทั่วโลกจะหัวเราะเยาะเรา เพราะพวกเขาใช้ภาษีเป็นอาวุธทำร้ายเรามานานหลายปี และเอาเปรียบเรา เราถูกประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะจีน เอาเปรียบมานานหลายปี 


แต่การตัดสินคดีนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น และยังเดิมพันด้วยผลกระทบที่ตามมากับเศรษฐกิจการค้าโลก และถ้าหากมีการพลิกคำตัดสินของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ก็จะส่งผลให้ฝ่ายบริหารของรัฐบาลทรัมป์แข็งแกร่งและมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม 


ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ ทั้งสายอนุรักษนิยมและเสรีนิยมต่างตั้งคำถามอย่างเข้มข้นต่อทนายของรัฐบาลทรัมป์ว่า กฎหมาย IEEPA ปี 1977 ซึ่งออกมาเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ให้อำนาจทรัมป์มากเพียงใดในการเก็บภาษีศุลกากร หรือทรัมป์ได้ล้ำเส้นอำนาจของสภาคองเกรสหรือไม่  โดยปัจจุบันศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยม 6 คน และเสรีนิยม 3 คน ซึ่งมีถึง 3 คนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ แม้ว่าผู้พิพากษาเหล่านี้เคยมีคำตัดสินที่เป็นคุณต่อทรัมป์ในหลายคดี แต่ก็เคยขัดขวางนโยบายของเขาเช่นกัน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงคาดการณ์ว่าโอกาสที่จะตัดสินออกมาเป็น 50/50 การคาดเดาคำตัดสินของศาลฎีกาเป็นเรื่องยาก

"ทรัมป์" มองแง่ดี ผลตัดสินศาลสูง แต่ไม่ประมาทมีแผนสำรอง ดันภาษีการค้าไปต่อได้ 

 

ทรัมป์ และรัฐบาลของเขา ยังคงมั่นใจ และมองในแง่ดี กับการตัดสินที่จะออกมาหลังจากนี้  รวมไปถึงการเตรียมพร้อมแผนสำรองที่จะไม่ทำให้นโยบายรีดภาษีคู่ค้าต้องหยุดชะงักลงไป 


นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เขาคาดว่าศาลฎีกาจะตัดสินให้ฝ่ายรัฐบาลชนะ และคงไว้ซึ่งการเก็บภาษีศุลกากรตามกฎหมาย IEEPA แต่หากศาลตัดสินให้มีการเพิกถอนการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ก็สามารถหันไปหยิบใช้กฎหมายอื่นมาบังคับแทนได้ เช่น มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีนำเข้าได้สูงถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า


นอกจากนี้ ทรัมป์ยังสามารถใช้มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเก็บภาษีนำเข้ามากถึง 50% จากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ


เบสเซนต์กล่าวด้วยความมั่้นใจว่า คุณควรคิดไว้เลยว่าภาษีเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป ประเทศที่ได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐก็ควรรักษาข้อตกลงนั้นไว้ ประเทศที่ได้ดีลดี ๆ ไปแล้ว ก็ควรจะยึดไว้ให้มั่น


สำหรับคดีในศาลฎีกาครั้งนี้ครอบคลุมเพียงบางส่วนของภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บในปีนี้เท่านั้น โดยขณะนี้รัฐบาลของเขาได้ใช้อำนาจตามกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมอยู่แล้ว เช่น ภาษีตามมาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น รถยนต์ ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ยา หุ่นยนต์ และอากาศยาน รวมถึงภาษีตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974


ขณะที่ ดี. จอห์น เซาเออร์ ทนายความของรัฐบาล อ้างว่า ทรัมป์เห็นว่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ และมาตรการภาษีช่วยให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองทางการค้าโดยระบุว่า หากย้อนกลับมาตรการเหล่านี้ จะเปิดทางให้ประเทศคู่ค้าใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าอย่างโหดร้าย และผลักดันอเมริกาจากความแข็งแกร่งสู่ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและความมั่นคง


นอกจากนี้โรเบิร์ตส์ยังชี้ด้วยว่า มาตรการภาษีของทรัมป์ได้เพิ่มอำนาจต่อรองของเขาในการเจรจาการค้าอย่างชัดเจน โดยข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการภาษีตาม IEEPA สร้างรายได้กว่า 89,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ – 23 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา 


เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าภาษีเหล่านี้ได้ผล เพราะบังคับให้ประเทศคู่ค้าใหญ่ ๆ เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ต้องยอมเจรจาและยอมอ่อนข้อต่อเงื่อนไขทางการค้า ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ


ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำว่า หากรัฐบาลของเขาแพ้คดีนี้ ก็จะเป็นหายนะสำหรับสหรัฐฯ เพราะหากศาลตัดสินคว่ำมาตรการภาษีของเขา รัฐบาลอาจถูกบังคับให้คืนเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ในส่วนของภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากผู้นำเข้า 


และเขาได้กล่าวผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่าตัวเขาคาดหวังว่าจะชนะคดี แต่ก็เผยว่ามีแผนสำรองหรือแผน 2 รองรับไว้แล้ว โดยระบุว่า “ผมคิดว่าเราจะต้องพัฒนาแผนเกมที่สอง เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น  โดยที่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมอะไรออกมา


และวันนี้ยังคงมีเวลาสำหรับรัฐบาลทรัมป์ในการวางแผนที่ว่านี้ เพราะอย่างไรก็ตามศาลฎีกาจะยังไม่ประกาศคำตัดสินในดังกล่าว โดยกระบวนการพิจารณาอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากประเด็นต่าง ๆ มีความซับซ้อนสูง และคาดว่าอย่างช้าที่สุด ที่จะมีคำวินิจฉัย หรือตัดสินชี้ขาดได้อย่างเป็นทางการ ก็คือ กลางปีหน้าภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2569 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง