ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax - GMT) ไม่เป็นบวกต่อ SET บางบจ.ต้องเสียภาษีอัตราใหม่
#GMT #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.กสิกรไทย
บล.กสิกรไทยจัดการประชุม KS Expert-Series ผ่านระบบ conference call ในหัวข้อ "Global Minimum Tax" (GMT) โดยมีผู้จัดการกองทุนในประเทศกว่า 80 รายเข้าร่วม
ประเด็นสำคัญไม่เป็นบวกต่อ SET เพราะบริษัทบางแห่งจะต้องเสียภาษีที่แท้จริงในอัตราใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เงินอุดหนุนที่อาจจะได้รับนั้นน่าจะมาเร็วที่สุดในปี 2571 ดังนั้น เราจึงไม่คาดว่าจะมี upside ต่อประมาณการกำไรในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
Investment Topics
เหตุการณ์สำคัญ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เราจัดการประชุม KS Expert-Series ผ่านระบบ conference call ในหัวข้อ Global Minimum Tax (GMT) หรือ อัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลก โดยมีวิทยากรหลักจากบริษัท EY ประเทศไทย 3 ท่าน ได้แก่ คุณเกษม เกียรติเสรีกุล หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานบริการด้านภาษีอากร คุณชินุมา ฮึกหาญ หุ้นส่วนสายงานบริการด้านภาษี และคุณเนาวรัตน์ เดชกูลพรศิริ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบและทีปรึกษาด้านบัญชี โดยงานนี้มีผู้จัดการกองทุนในประเทศเข้าร่วมกว่า 80 ราย ประเด็นสำคัญจากการประชุมครั้งนี้ค่อนข้างเป็นไปในทางลบต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กหรอนิกส์ และ SET โดยรวม
ภาพรวมของ Global Minimum Tax ภายใต้ Pilar 2 ของมาตรการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีระหว่างประเทศ (Global Anti-Base Erosion Model Rules หรือ GloBE) โดย GMT มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทข้ามชาติโอนผลกำไรไปยังประเทศที่มีเขตอำนาจภาษีต่ำข้อตกลงนี้ได้รับความเห็นชอบจากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ซึ่งหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปได้นำไปบังคับใช้แล้วในปี 2567 ขณะที่ประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะนำไปบังคับใช่ในปี 2568
ใครจะได้รับผลกระทบจาก Global Minimum Tax Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กำหนดให้บริษัทข้ามชาติ (MNE) ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎเกณฑ์ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมเกิน 15% โดยขอบเขตดังกล่าวรวมถึง 1) บริษัทนั้นเป็น MNE หรือไม่ 2) รายได้รวมประจำปีเกิน 750 ล้านยูโรใน 2 ปี จาก 4 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ 3) อัตราภาษีที่แท้จริงของ MNE ในแต่ละประเทศที่ดำเนินธุรกิจเกิน 15% หรือไม่หากบริษัทอยู่ภายใต้ Pillar 2 บริษัทนั้นและบริษัทในเครือในแต่ละประเทศจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามอัตราภาษีขั้นต่ำที่ 15%
กรอบเวลาและผลกระทบประเทศไทยได้ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติภาษีส่วนเพิ่ม (Top-up Tax) ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ม.ค.2568 แม้ว่ารัฐบาลจะให้เวลา 18 เดือนในการยื่นแบบภาษีหลังสิ้นปี แต่บริษัทต่างๆ จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมในปีงบประมาณ ดังนั้น เราคาดว่าบริษัทบางแห่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องแบกรับอัตราภาษีที่แท้จริงที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป ซึ่งรวมถึง DELTA อย่างไรก็ตาม ในการคำนวณภาษี Top-up Tax นั้น อาจถูกหักบางส่วนจากค่าใช้จ่ายบุคลากรและสินทรัพย์ระยะยาว โดยอัตราภาษีที่แท้จริงใหม่สำหรับบริษัทที่จ่ายภาษีต่ำกว่าขั้นต่ำในปัจจุบันอาจต่ำกว่า 15% หรือสูงกว่า 15% ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของบริษัทในเครือและประเทศในเขตอำนาจภาษี
การชดเชยและการสนับสนุน วิทยากรที่มาในงานนี้เน้นว่า Top-Up Tax จำนวน 50-70% จะถูกจัดสรรให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน) ซึ่งจะพิจารณาให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ลงทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับการลงทุนที่จะส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและการลงทุนระยะยาวของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การชดเชยดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีแนวโน้มว่าปี 2571 จะเป็นกรอบเวลาที่เร็วที่สุด
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น วิทยากรระบุว่าอาจมีความเสี่ยงจากข้อบังคับภาษีใหม่นี้ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวขณะที่จีนยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการตามข้อตกลงนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ