โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อาจทำให้ติดเชื้อซ้ำในคนที่เคยติด BA.1

วันนี้ (4 พ.ค.65) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ในสหรัฐฯ ระบุล่าสุดว่า เชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอมิครอน” 2 สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ที่พบล่าสุด ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในแอฟริกาใต้ พุ่งขึ้น 3 เท่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ด้าน ดร. ปีเตอร์ ชิน-ฮอง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัย ยูซี ซานฟรานซิสโก กล่าวว่า สหรัฐฯ เพิ่งรับมือกับ BA.2.12.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกของ BA.2 และติดต่อได้ง่ายกว่า BA.2 ได้ ก็มาเกิด BA.4 และ BA.5 ขึ้นมาอีกในแอฟริกาใต้

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ กำลังติดตามสถานการณ์ระบาดของ BA.4 และ BA.5 และเตือนว่า หากเกิดการระบาดอย่างรวดเร็วของ BA.4 และ BA.5 ในแอฟริกาใต้ อาจทำให้โควิด-19 กลับมาระบาดใหม่ในอนาคตในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงในสหรัฐฯ ได้เช่นกัน

จนถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า คนที่เคยติดเชื้อโอมิครอนตัวแรกคือ BA.1 ในสหรัฐฯ ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา จะไม่ติดเชื้อซ้ำโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย คือ BA.2 ซ้ำอีก แม้ว่า BA.2 จะติดต่อได้ง่ายกว่าโอมิครอนตัวแรกก็ตาม ทั้งนี้ BA.2 เป็นสายพันธุ์โควิด-19 ที่กำลังครองสหรัฐฯ และครองโลกในขณะนี้

ดร. ชิน-ฮอง อธิบายว่า การระบาดของ BA.4 และ BA.5 ที่กำลังเพิ่มขึ้นในแอฟริกาใต้ขณะนี้ เกิดขึ้นหลังจากประชากรแอฟริกาใต้ร้อยละ 90 มีภูมิคุ้มกันแล้ว จากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนหน้านี้จนเกิดภูมิธรรมชาติ หรือได้รับภูมิมาจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด ทำให้ไม่ควรเกิดการระบาดเพิ่มขึ้นของโควิด-19 ในประเทศนี้อีก

ดังนั้น การพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงหมายความว่า BA.4 และ BA.5 ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในคนที่เคยติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ก่อน ๆ 

ส่วนสถานการณ์โควิดในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ขณะนี้ BA.2 เป็นสายพันธุ์หลักของการระบาด มีสัดส่วนร้อยละ 88 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดเกือบ 3,600 คนในรัฐนี้ที่ตรวจพบในเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

ส่วน BA.2.12 และ BA.2.12.1 สายพันธุ์ลูกของ BA.2 พบเพียงร้อยละ 9 ของผู้ติดเชื้อโควิดทั้งหมดในแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ในแคลิฟอร์เนีย พบเพียงชนิดละ 1 คนเท่านั้นในเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ BA.2.12.1 ติดต่อได้ง่ายกว่า BA.2 ประมาณร้อยละ 25.

ภาพจาก แฟ้มภาพ Reuters , AFP