รีเซต

“คนละครึ่ง 2.0” ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม บทเรียน 5 รอบที่รัฐควรทบทวน

“คนละครึ่ง 2.0” ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม บทเรียน 5 รอบที่รัฐควรทบทวน
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 16:24 )
20

โครงการ “คนละครึ่ง” ถูกออกแบบขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยเจอวิกฤตโควิด-19 ประชาชนตกงาน รายได้หาย กำลังซื้อหดหาย รัฐบาลในตอนนั้นจึงเลือกใช้มาตรการแจกเงินรูปแบบใหม่ ไม่ได้ให้เงินสดตรง ๆ แต่ช่วย “ออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง” ในการซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เป้าหมายมี 2 อย่าง คือ หนุนกำลังซื้อของประชาชน และพยุงร้านค้ารายย่อยให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น

ตลอด 5 รอบของโครงการ รัฐอัดงบประมาณไปกว่า 250,000 ล้านบาท ตัวเลขที่ประกาศออกมาดูเหมือนประสบความสำเร็จ เพราะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากกว่า 424,000 ล้านบาท แต่หากขุดลึกลงไป จะเห็นว่าเงินจำนวนไม่น้อยถูกใช้ไปแบบ “เสียของ” ทั้งจากงบเหลือใช้ ทุจริต และระบบที่ไม่พร้อม

งบเหลือใช้คือเงินที่หายไปกับโอกาส

ในแต่ละเฟส มีคนลงทะเบียนน้อยกว่าที่รัฐคาดไว้ ทำให้มีงบเหลือสะสมรวมกว่า 23,000 ล้านบาท หรือราว 10% ของงบทั้งหมด เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อย เพราะถ้าเอาไปใช้ทำโครงการอื่น ๆ เช่น สร้างโรงพยาบาลชุมชน สนับสนุนเกษตรกร หรือฟื้นฟูผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบาง ก็อาจเกิดประโยชน์มากกว่า แต่เมื่อกติกาโครงการไม่ยืดหยุ่น เงินเหล่านี้ก็กลายเป็นเพียงตัวเลขที่รัฐไม่สามารถดึงกลับมาใช้ได้ทันท่วงที

ทุจริตกินแรงคนซื่อสัตย์?

ปัญหาใหญ่ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ การทุจริต ตลอดโครงการมีคดีเกี่ยวข้องมากกว่า 1,300 คดี บางรูปแบบเห็นภาพชัด เช่น “แลกสิทธิเป็นเงินสด” มีนายหน้ารับแลกสิทธิ โดยหักค่าหัวคิว 20–40 บาทต่อครั้ง คนที่ควรได้ซื้อของกลับได้เงินไม่ครบ ขณะที่ร้านค้ากับลูกค้าบางรายจับมือกัน “สแกนจ่ายปลอม” ไม่ได้มีการซื้อขายจริง แต่แบ่งเงินกันใช้

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณ แต่ยังทำให้ร้านค้าที่ซื่อสัตย์เสียเปรียบ ร้านที่ทำตามกติกากลับขายได้น้อยลง เพราะลูกค้าถูกดึงไปใช้สิทธิในร้านที่ร่วมโกง

'ร้านค้านอกระบบภาษี' ทำเงินหายเปล่า?

อีกจุดอ่อนที่สำคัญคือ ร้านค้าที่เข้าร่วมจำนวนไม่น้อย “อยู่นอกระบบภาษี” หมายความว่า เงินที่รัฐอัดลงไป ไม่ได้หมุนเวียนกลับคืนมาเป็น VAT หรือภาษีเงินได้ เงินภาษีประชาชนที่ใช้จึงเหมือนน้ำซึมบ่อทราย ใช้แล้วหายไป ไม่สามารถต่อยอดสร้างรายได้ใหม่ให้รัฐได้ ต่างจากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี เช่น ร้านนิติบุคคลหรือ Modern Trade ที่อย่างน้อยยังมีการเก็บภาษีกลับมา

ระบบเทคโนโลยีที่ล่มซ้ำซาก?

อีกปัญหาที่ชาวบ้านจำได้ดีคือ แอป “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ล่มบ่อยในช่วงที่คนแห่ใช้สิทธิ บางคนรอ OTP ไม่เข้า บางครั้งก็เจอการบังคับให้ใช้หลายแอป ทั้ง ThaID และ Amazing Thailand ทำให้คนสับสนมากขึ้น ทั้งที่รัฐควรพัฒนาแอปเดียวให้เสถียรและใช้ง่าย การแก้ปัญหาแบบ “ซ้ำซ้อน” ทำให้ต้องใช้งบพัฒนาใหม่หลายสิบล้าน แต่กลับไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง

ใครได้ประโยชน์จริง?

แม้โครงการจะถูกออกแบบมาเพื่อช่วยประชาชน แต่เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น ผลสุดท้ายกลับทำให้ “คนบางกลุ่มได้ประโยชน์เกินควร” เช่น ร้านค้าปลอม หรือนายหน้าที่แลกสิทธิเป็นเงินสด ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยที่ซื่อสัตย์ หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้เทคโนโลยีไม่ถนัด กลับไม่ได้รับผลประโยชน์เต็มที่ นี่คือความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขเงินหมุนเวียน

บทเรียนที่ควรจำ ก่อนเริ่มใหม่ 

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เคยเสนอว่า หากรัฐจะทำโครงการนี้อีก ควรปรับเกณฑ์ใหม่ เช่น ตั้งเป้าให้สมจริงกว่าเดิม กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบที่เหมาะสม และสร้างระบบตรวจสอบที่รัดกุมตั้งแต่แรก พร้อมทั้งคืนวงเงินของคนที่ไม่ใช้สิทธิให้เร็วขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้เงินจม

และบทเรียนใหญ่ที่สุดคือ “อย่าปิดกั้นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี” เพราะการให้สิทธิเฉพาะบางกลุ่มทำให้เงินภาษีไม่หมุนเวียนกลับมาอย่างที่ควร หากเปิดให้ร้าน Modern Trade หรือร้านนิติบุคคลเข้าร่วม โดยควบคุมสินค้าว่าต้องเป็นของไทย ก็จะช่วยทั้ง SME ไทย และทำให้รัฐเก็บภาษีคืนได้จริง

โครงการคนละครึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นนโยบายที่ “ตั้งใจดี” แต่เมื่อการออกแบบไม่รัดกุม ระบบเทคโนโลยีไม่พร้อม และการป้องกันการทุจริตไม่เข้มแข็ง เงินภาษีจำนวนมหาศาลจึงสูญเปล่าไปกับช่องโหว่เหล่านี้

ก่อนจะเริ่มต้น “คนละครึ่ง 2.0” รัฐบาลจึงต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า เงินภาษีที่กำลังจะใช้ จะไม่หายไปแบบเดิมอีก และต้องมั่นใจว่าทุกบาทที่ลงทุนจะหมุนเวียนกลับมา ทั้งในรูปของกำลังซื้อ ความเป็นธรรม และรายได้ของรัฐเอง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง