นักลงทุนรุ่นใหม่มองบิทคอยน์ร่วง รับข่าวลบเดิมไม่กระทบปัจจัยพื้นฐาน
"แม้การลงทุนใน DeFi จะมีผลตอบแทนสูง ในแง่ของความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า หากวิเคราะห์ราคาบิทคอยน์ที่ร่วงลงจากจุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่แถว ๆ 31,000-33,000 ดอลลาร์สหรัฐ มองว่าระดับราคาดังกล่าวน่าสนใจซื้อลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์ไม่ได้เปลี่ยนไป และมีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต จากกระแสข่าวดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น กรณีประเทศเอลซัลวาดอร์ (El Salvador) ประกาศที่จะศึกษาเรื่องของการนำบิทคอยน์มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยบวกใหม่ ซึ่งหากอนาคตมีการร่างกฎหมายดังกล่าวจริง บิทคอยน์จะมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้น คือ ธนาคารกลาง แม้จะเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ แต่ก็ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของบิทคอยน์ในระยะยาวได้
เช่นเดียวกันกับกรณีที่นาย Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Bridgewaters ให้ข้อมูลการถือครองบิทคอยน์ แม้จะไม่ได้ระบุว่าถือในนามส่วนตัว หรือ กองทุนรวม และไม่ได้ระบุมูลค่า แต่ถือว่าได้สร้างผลกระทบทางจิตวิทยาเชิงบวกค่อนข้างมาก เพราะ Ray Dalio เป็นนักลงทุนที่มีความน่าเชื่อถือสูงและได้รับการยอมรับจากนักลงทุนทั่วโลก
"ข่าวเรื่องหน่วยงานทางด้านการเงินของประเทศจีนประกาศแบนคริปโต และกรณีทางการสหรัฐฯ จะแบนคริปโต หรือ เก็บภาษี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเก่าที่เล่าใหม่ และการที่ Elon Musk ออกมาทวิตเนื้อหาในเชิงลบ มีผลในเชิงจิตวิทยาเท่านั้น แต่ไม่ได้กระทบต่อพื้นฐาน เพราะ Tesla ถือครองบิทคอยน์เพียงแค่ไม่ถึง 0.1% ของซัพพลายทั้งหมดด้วยซ้ำ นักลงทุนระยะยาว ต้องมองให้ออกในเชิงของข่าวว่าอะไรที่เข้ามากระทบกับปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง"
นายณพวีร์ กล่าวว่า สถาบันการเงินต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าเปิดให้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีได้ ล่าสุด คือ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ อย่าง ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ และการเข้าซื้อบิทคอยน์อย่างต่อเนื่องของ Micro Strategy ตลอดจน Ark Invest ที่ตัดสินใจเข้าซื้อลงทุนบิทคอยน์โดยตรง ถือเป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบในเชิงพื้นฐานจริง ๆ ของบิทคอยน์
นอกจากปัจจัยบวกเชิงดีมานด์แล้ว ยังพบว่าในฝั่งซัพพลายเอง ก็มีความน่าสนใจตรงที่ซัพพลายของบิทคอยน์ ที่อยู่ใน Exchange หรือ ซื้อขายในตลาดรอง มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของ Glassnode บริษัทวิจัยทางด้านบล็อกเชน แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ราคาบิทคอยน์ ลงไปทำจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว
จำนวนบิทคอยน์ที่ถูกดึงออกมามีปริมาณที่ค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ น่าจะเป็นผู้ดูดซัพพลายเหล่านี้ออกมาเก็บไว้นอก Exchange เพื่อลงทุนระยะยาว อีกทั้งมีข้อมูลว่าการสร้าง Stable Coins ใหม่เข้ามาในระบบ ยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะปรับฐานก็ตาม สะท้อนว่ายังมีความต้องการซื้อบิทคอยน์อยู่มากในตลาด
ด้านเทคนิคแนะติดตามราคาบิทคอยน์ หากไม่ลงต่ำกว่าระดับ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมที่เกิดขึ้นในเดือน พ.ค.อาจบ่งบอกว่าราคาบิทคอยน์จะไม่เกิดการปรับตัวลงอย่างรุนแรงอีกในระยะสั้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวสำหรับนักลงทุนที่ยังมองปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์ไม่ได้เปลี่ยนไป
และหากราคาไม่ลงไปต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเคยเป็นจุดสูงสุดเดิมก่อนหน้านี้ มีโอกาสที่ราคาบิทคอยน์จะปรับตัวขึ้น และสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือระดับ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐได้ ภายใน 1 ปีข้างหน้านี้
พร้อมแนะนำนักลงทุนให้ศึกษาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจการเงินไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนที่มีศักยภาพสูง บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีการเขียน Smart Contract ชัดเจน เป็นกลไกของการเงินแบบไร้ตัวกลางที่สร้างผลตอบแทนได้จริง โดยที่ต้นทุนการทำงานไม่สูงเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินในแบบปัจจุบัน
แต่ต้องยอมรับว่า DeFi เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาระบบที่ดียิ่งขึ้นกว่านี้ รวมไปถึงการสร้างความปลอดภัยในการลงทุน ซึ่งหากปัญหาความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ของ DeFi ได้รับการแก้ไข ในที่สุดการลงทุนใน DeFi ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้น
"แม้การลงทุนใน DeFi จะมีผลตอบแทนสูง ในแง่ของความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ โดยไม่ไปลงทุนกับ DeFi ที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจเข้าข่ายเป็น Scam และต้องไม่นำเงินทั้งหมดที่มีเข้ามาลงทุน อาจจะลองแบ่งเงินเพียงส่วนน้อยมาเริ่มลงทุน เพื่อศึกษาให้เข้าใจกลไกการทำงานของสินค้าประเภท DeFi มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคต" นายณพวีร์ กล่าว