รีเซต

เมลิออยด์ โรคที่ควรเฝ้าระวัง! หมอ เตือนกลุ่มเสี่ยงป่วยแล้วเสี่ยงมีอาการรุนแรง

เมลิออยด์ โรคที่ควรเฝ้าระวัง! หมอ เตือนกลุ่มเสี่ยงป่วยแล้วเสี่ยงมีอาการรุนแรง
TNN ช่อง16
6 พฤษภาคม 2568 ( 19:23 )
46

ดร.นายแพทย์หิรัญวุฒิ แพร่คุณธรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูงและมีน้ำขัง อาจพบอุบัติการณ์ของโรคเมลิออยด์ (Melioidosis) เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก และประชาชนมีโอกาสสัมผัสกับดินและน้ำจากการทำเกษตร  ทั้งนี้ โรคเมลิออยด์เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบได้ในดินและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล การหายใจเอาฝุ่นดินเข้าไปหรือการดื่มน้ำที่มีเชื้อ เมื่อได้รับเชื้อจะเริ่มมีอาการ ประมาณ 1–21 วัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 9 วัน

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเชื้ออาจแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนหรือแม้กระทั่งหลายปี โดยผู้ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการทันที และเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงเริ่มมีอาการของโรค โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการได้ตั้งแต่ไข้เฉียบพลัน ปอดอักเสบ ฝีในอวัยวะต่างๆ หรืออาการรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที  สำหรับพื้นที่เสี่ยงต่อโรคเมลิออยด์ จะพบมากใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ของประเทศไทย

โดยเฉพาะบริเวณที่มีการทำเกษตรกรรม ดินชื้น น้ำขัง หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น นาข้าว สวนผัก และไร่อ้อย ซึ่งมักมีเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ปะปนอยู่ จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค พบว่าจังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยเมลิออยด์ในระดับสูง ได้แก่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครราชสีมา เชียงใหม่ และสงขลา

ทั้งนี้ กลุ่มประชากรที่อาศัยหรือทำงานในพื้นที่เหล่านี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีความชื้นสูงและน้ำท่วมขังซึ่งเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อ 

กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงหากติดเชื้อโรคเมลิออยด์ มีดังนี้ :

1. ผู้ป่วยเบาหวาน  เป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับหนึ่งที่พบว่ามีอัตราการติดเชื้อเมลิออยด์สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันมักต่ำลง ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้รวดเร็ว

2. ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่าย

3. ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เช่น โรคตับแข็ง ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกรองเชื้อโรค เมื่อทำงานผิดปกติจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

4. ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS, ผู้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน (หลังปลูกถ่ายอวัยวะ, เคมีบำบัด ฯลฯ)

5. ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง, หัวใจ, เบาหวาน

6. ผู้ที่มีแผลเปิดที่ผิวหนัง เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อลงแช่น้ำหรือลุยโคลนที่มีเชื้อปนเปื้อน

เพราะฉนั้นกลุ่มเสี่ยง  หรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่น้ำขัง ควรป้องกันตนเองโดยสวมรองเท้าบูทและถุงมือเมื่อต้องสัมผัสดินหรือแหล่งน้ำ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่สะอาด หากมีบาดแผลควรทำแผลให้สะอาดและปิดให้มิดชิด ไม่ควรสัมผัสดินและน้ำจนกว่าแผลจะหายดี หากมีอาการไข้สูง หอบเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการสัมผัสดินหรือน้ำทันที “โรคเมลิออยด์สามารถป้องกันได้ หากประชาชนตระหนักและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422  

อาการ เมลิออยโดสิส (Melioidosis)

ผู้ติดเชื้อจะมีอาการหลากหลาย ทั้งการติดเชื้อเฉพาะที่และการติดเชื้อแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการไข้ บางรายมีอาการไม่ต่างจากโรคปอดบวมรุนแรง บางรายมีอาการคล้ายๆ กับวัณโรค 

อาการสำคัญคือติดเชื้อในกระแสเลือดมีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ผู้ป่วยมีอาการเริ่มต้นด้วยอาการไข้คล้ายโรคติดเชื้อหลายโรค เช่น สครัปไทฟัส มาเลเรีย ไทฟอยด์ไข้เลือดออก ดังนั้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญมาก

การป้องกันโรคเมลิออยด์

-หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและน้ าโดยตรง หากต้องสัมผัสดินหรือน้ า เช่นท าการเกษตรจับปลา ลุยน้ า หรือลุยโคลน ควรสวมรองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาว หรือ ชุดลุยน ้า
-หากสัมผัสดินหรือน้ า ควรท าความสะอาดร่างกายด้วยน้ าสะอาด และฟอกสบู่ทันที
-หากมีบาดแผลที่ผิวหนัง ควรรีบท าแผลด้วยยาฆ่าเชื้อไม่ใส่ดินหรือสมุนไพรใดๆ ลงบนแผล และหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและน้ าจนกว่าแผลจะหายสนิท
-สวมรองเท้าทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ไม่เดินเท้าเปล่า
-ดื่มน ้าต้มสุก (เนื่องจาก น้ าฝน น้ าบ่อ น้ าบาดาล และน้ าประปาอาจมีเชื้อปนเปื้อนได้และการกรองด้วยเครื่องที่ไม่ได้รับการบ ารุงรักษาอย่างถูกต้องไม่สามารถฆ่าเชื้อเมลิออยด์ได้)
-ทานอาหารสุกสะอาด (ไม่ทานอาหารที่มีการปนเปื้อนจากดิน ฝุ่นดิน หรืออาหารที่ล้างด้วยน้ าที่ไม่สะอาด)
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสลมฝุ่น และการอยู่ท่ามกลางสายฝน
-เลิกเหล้า เลิกบุหรี่
-ห้ามทานยาต้ม ยาหม้อ ยาชุด ยาลูกกลอน
-ผู้ป่วยที่มีโรคประจ าตัวจะมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคเมลิออยด์สูงขึ้นและควรดูแลสุขภาพให้ดีเช่น ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลระดับน้ าตาลให้ปกติ(ระดับน้ าตาลเท่ากับ 80-100)


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- แนะ 5 สมุนไพร รักษาอาการ "โรคผิวหนัง - น้ำกัดเท้า" ช่วงฤดูฝน

- หน้าฝนเลี่ยงเดินลุยน้ำ ลดความเสี่ยงเกิดโรคเมลิออยโดสิส

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง