รีเซต

Modern Trade สะพานเชื่อม คนละครึ่งเวอร์ชันใหม่สร้างรายได้กลับรัฐเต็มๆ

Modern Trade สะพานเชื่อม คนละครึ่งเวอร์ชันใหม่สร้างรายได้กลับรัฐเต็มๆ
TNN ช่อง16
24 กันยายน 2568 ( 21:57 )
15

โครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลเตรียมนำมาตรการที่เคยเป็นเครื่องมือสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวิกฤตกลับมาใช้ใหม่ แต่ครั้งนี้แนวคิดไม่ได้หยุดอยู่เพียงการแบ่งจ่ายครึ่งหนึ่งเพื่อลดราคาสินค้าเหมือนที่ผ่านมา 

สิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาและได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย คือการ “เปิดสิทธิให้ครอบคลุมร้านค้านิติบุคคลและห้างค้าปลีก–ค้าส่งรายใหญ่ (Modern Trade)” โดยมีเงื่อนไขชัดเจนว่าสินค้าที่เข้าร่วมต้องเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และให้ความสำคัญกับสินค้าที่มาจากผู้ประกอบการรายเล็กหรือ SME เพื่อให้มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน แต่ยังสร้างโอกาสทางการตลาดให้ SME ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น พร้อมกับทำให้รายได้จากการจับจ่ายหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและภาษีของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม 

ตลอด 5 รอบที่ผ่านมา คนละครึ่งใช้งบประมาณรวมกว่า 2.7 แสนล้านบาท มีประชาชนเข้าร่วมเกือบ 30 ล้านคน และสร้างยอดใช้สิทธิรวมกว่า 7 แสนล้านบาท ผลลัพธ์คือประชาชนมีเงินหมุนในมือมากขึ้น แต่ข้อจำกัดที่เห็นชัดคือโครงการไม่เปิดให้ร้านค้าขนาดใหญ่เข้าร่วม ทั้งที่ SME จำนวนไม่น้อยมีสินค้าวางขายใน Modern Trade การกันห้างออกจึงไม่เพียงจำกัดทางเลือกของประชาชน แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการบางกลุ่มเสียโอกาสไปโดยตรง

เราควรมองว่าการเปิดให้ Modern Trade เข้ามามีส่วนร่วม ไม่ได้หมายถึงการเอื้อรายใหญ่ แต่คือการสร้างสมดุลใหม่ให้ตลาด เพราะหากเงื่อนไขกำหนดชัดเจนว่าใช้สิทธิได้เฉพาะสินค้าที่ผลิตโดย SME ไทย เงินสนับสนุนจะตกไปถึงผู้ผลิตรายเล็กโดยตรง ไม่ว่าพวกเขาจะขายสินค้านั้นในร้านโชห่วย หรือในห้างขนาดใหญ่ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ได้รับความสะดวกมากขึ้น เพราะสามารถใช้สิทธิได้ในทุกช่องทางที่เข้าถึงง่ายที่สุด

ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนคือ หากแม่บ้านไปตลาดซื้อผักสด เธอสามารถใช้สิทธิคนละครึ่งได้เหมือนเดิม วันถัดมา หากไป Lotus’s หรือ 7-Eleven แล้วเลือกซื้อปลากระป๋อง ข้าวสาร หรือสินค้าพื้นฐานที่ผลิตโดย SME ไทย ก็ยังใช้สิทธิได้ เงินครึ่งหนึ่งที่รัฐช่วยจ่ายทำให้แม่บ้านประหยัดลง SME ได้ขายของเพิ่มขึ้น และห้างต้องส่ง VAT (Value Added Tax หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม) เข้ารัฐ ทำให้เกิดผลประโยชน์ 3 ต่อในคราวเดียว

ข้อมูลทางการเงินยิ่งตอกย้ำประเด็นนี้ ปัจจุบันเพียงแค่ CP ALL (7-Eleven) และ CP Axtra (รวม Makro และ Lotus) ก็มีรายได้รวมมากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี โดย CP ALL จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 6,381 ล้านบาทเข้าสู่รัฐ ส่วน Central Retail มีรายได้มากกว่า 2.6 แสนล้านบาท การเปิดให้กลุ่มนี้เข้าร่วมโครงการหมายถึงการเชื่อมโยงมาตรการกับระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่รัฐสามารถเก็บภาษีได้จริง

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขยังอยู่ระหว่างการพิจารณา สิ่งที่รัฐบาลต้องหาคือ “จุดสมดุล” ระหว่างการป้องกันไม่ให้โครงการกลายเป็นการเอื้อรายใหญ่เกินไป กับการทำให้เงินภาษีที่ใช้เกิดผลสูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจ แนวทางที่ถูกพูดถึงมากคือการกำหนดกรอบสินค้าให้ชัดเจน เช่น ให้สิทธิเฉพาะสินค้าที่ผลิตในประเทศโดย SME เท่านั้น

ทั้งหมดนี้ทำให้คนละครึ่งเวอร์ชันใหม่กลายเป็นบททดสอบสำคัญ หากรัฐบาลออกแบบได้ดี โครงการจะก้าวข้ามจากการเป็นมาตรการอุดหนุนชั่วคราว ไปสู่การ “ใช้เงินภาษีสร้างระบบหมุนเวียน” ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่ม SME ได้โอกาสขยายตลาด และรัฐมีรายได้ภาษีหมุนเวียนกลับคืนเพื่อใช้ต่อยอดนโยบายในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง