“เด็กจบใหม่” Gen Z หางานยากสุด เพราะนิสัยตัวเอง หรือเพราะคน Gen เก่าตีตราเป็นตัวปัญหา?

“เด็กจบใหม่” หางานได้ยากที่สุด เพราะนิสัยตัวเองจริงหรือเปล่า? หลังผลสำรวจ ‘สภาพัฒน์’ พบ ผู้บริหารกว่า 89 % เลี่ยงจ้างบัณฑิตป้ายแดง เพราะขาดประสบการณ์ ทักษะ และ มารยาททางธุรกิจ
คำถามคือ แล้ว เด็กจบใหม่ แล้วจะมีประสบการณ์ทำงานได้อย่างไร หากคุณไม่ให้โอกาส บทความนี้จะไม่ว่าเจนซี แต่จะแนะว่า ถ้าเจนซีอยากได้งาน ต้องทำยังไง
นายจ้างราว 40% หลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะ ดูไม่พร้อมสำหรับการทำงานจริง ปี 2023 เป็นรายงานจาก Voice of America (VOA) พบว่า พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้นายจ้างคิดว่า GEN Z ไม่มืออาชีพ
เช่น หนีบพ่อแม่ผู้ปกครองมาสัมภาษณ์งานด้วย ปฏิเสธที่จะเปิดกล้องในระหว่างการสัมภาษณ์ออนไลน์ ไม่สบตา แต่งกายไม่เหมาะสม ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม ทั้งหมดทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพ
75% ของนายจ้างในสหรัฐ ไม่พอใจกับเด็กจบใหม่ 6 ใน 10 บริษัท ไล่พนักงานกลุ่ม Gen Z ออกเมื่อครบ 1 ปี จากผลสำรวจจาก Intelligent ปี 2024
ช่วงต้นปี 2025 ผลสำรวจจาก ResumeBuilder.com พบว่า นายจ้างกว่า 74% ชี้ Gen Z เป็นกลุ่มที่ร่วมงานด้วยได้ยากกว่าคนรุ่นอื่น ๆ เนื่องจาก
- ขาดทักษะเทคโนโลยี 39%
- ขาดแรงจูงใจในการทำงาน 37%
- ขาดความพยายาม 37%
- ขาดทักษะการสื่อสาร 36%
- ขี้หงุดหงิด ไม่พอใจง่าย 35%
หลายบริษัทไม่ค่อยอยากรับคนรุ่นนี้เข้าทำงาน และ Gen Z เองก็กลายเป็นเจนเนอเรชันที่มีความเครียดมากที่สุดไปเรียบร้อย
การทำงานกับ GEN Z อาจยากจริง แต่ มันผิดที่ GEN Z อย่างเดียว หรือเพราะเราไม่เข้าใจพวกเขาด้วย
GEN Z เป็นแบบนี้ เพราะ สภาพสังคม และ พ่อแม่ GEN X หล่อหลอมพวกเขามา มองนิสัยเด็ก เราก็อาจต้องมอง พ่อแม่ ด้วย ว่าเลี้ยงพวกเขามาแบบไหน?
Gen X เป็นพ่อแม่ที่ “Protective”
Gen X โตมากับพ่อแม่ Boomer ที่เข้มงวด
เลยสาบานกับตัวเองว่า “จะไม่เลี้ยงลูกแบบนั้น” เลยเปลี่ยนเป็นพ่อแม่สาย “เข้าใจลูก” ยืดหยุ่น ใจดี ส่งผลให้ Gen Z กล้าพูด กล้าเถียง กล้าปฏิเสธ เพราะรู้สึกว่า “ความเห็นตัวเองสำคัญ”
ผลลัพธ์: เกิด “หัวแข็ง” หรือ “ไม่เคารพลำดับขั้น”
เด็ก Gen Z โตมากับหน้าจอ มากกว่าคน
Gen X ส่วนใหญ่ทำงานหนักมาก (แม่ทำงาน พ่อทำงาน) เลยให้ iPad / มือถือช่วยเลี้ยงลูก Gen Z หลายคนจึงเรียนรู้โลกผ่าน TikTok, YouTube มากกว่าครูหรือผู้ใหญ่ ทักษะ soft skill อย่างการฟัง การอ่านสีหน้า หรือพูดต่อหน้าเลย “อ่อนมาก”
ผลลัพธ์: ถูกมองว่า “ไม่สื่อสาร”, “ไม่รู้จักกาละเทศะ”, “ไม่ Professional”
โควิด ทำให้ Gen Z รุ่นต้น “ขาดการบ่มเพาะทางสังคม”
การที่พวกเขา ถูกโดดเดี่ยวจากสังคมแบบเลือกไม่ได้เพราะโควิด ในช่วงวัยและเวลาที่เขาควรจะได้สนุก เรียนรู้ ทดลองการใช้ชีวิต ในสังคมจำลอง คือ ภายใต้รั้วมหาวิทยาลัยที่สุดแสนสำคัญมันหายไป
มันย่อมส่งผลกระทบอย่างจังต่อพัฒนาการ ทักษะการเข้าสังคม และ Softskills ต่าง ๆ ที่เด็กควรจะได้เรียนรู้ ก่อนต้องเข้าสู่โลกแห่งการทำงานจริง ทำให้พวกเขาขาดประสบการณ์การ ทะเลาะ-ปรับตัว-รับผิดชอบแบบเจอหน้าจริง
ผลลัพธ์: บางคนโตเป็นผู้ใหญ่แต่ “ข้างในยังเป็นเด็ก” อยู่มาก
Gen X ปลูกฝังให้ลูก “เป็นตัวของตัวเอง” เต็มที่
สังคมยุค 2000s เริ่มพูดถึง self-esteem, individuality แบบสุดโต่ง เด็ก Gen Z เลยโตมากับความเชื่อว่า “ความรู้สึกฉันสำคัญ” เป็นตัวเองได้ไม่ผิด ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ แตกต่าง คือ ประหลาด การแต่งตัว การใช้คำพูด จึงอิสระมาก – บางครั้งล้ำเส้น โดยไม่รู้ตัว
ผลลัพธ์: ผู้ใหญ่บางคนจะไม่เข้าใจ และ มองว่า “ไม่รู้จักมารยาท” หรือ “ไม่เคารพบริบท”
Gen Z มองตัวเองอย่างไร
GEN Z เข้าใจว่า ความมั่นใจ = ความสามารถ = ความสำเร็จในชีวิตที่ต้องมาเร็ว
พวกเขาโตมากับวัฒนธรรมไวรัลและอินฟลูเอนเซอร์ เห็นคนอายุเท่ากันขับรถหรู มีเงินเป็นล้าน แค่เพราะ “หน้าตาดี พูดเก่ง หรือมีสไตล์” หลายคนเลยรู้สึกว่า “ฉันคู่ควรกับความสำเร็จ และมันควรมาเร็ว จะดูเจ๋ง”
ใช่… บางคนประสบความสำเร็จจริงในวัยเพียง 20 ต้น ๆ ซึ่งน่าชื่นชม แต่แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนั้น และ สิ่งที่สำคัญ คือพวกเขาล้วนผ่านความล้มเหลว มานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะ สำเร็จ
แต่สิ่งเหล่านี้ GEN Z หลายคนมองข้าม และไปโฟกัสแค่ที่ปลายทางว่า นี่ไง ฉันจะเป็นตัวเอง และ จะสำเร็จให้ได้ แต่ไม่ได้เรียนรู้ How to ว่ากว่าจะถึงตรงนั้น ต้องผ่านไป อย่างไร
เพราะ “ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอ” แค่มั่นใจ เป็นตัวเอง ก็สำเร็จได้ วัดความเก่งตัวเอง แค่จากเกรด คะแนนสอบ แต่ ไม่เคยผ่านสนามจริงของความพยายาม ความล้มเหลว การยอมรับ feedback การทำงานกับคนอื่น หรือ แก้ปัญหาในการทำงาน
เพราะโลกออนไลน์ทำให้คิดว่า “ฉันก็มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จเหมือนเขา” โดยลืมไปว่าเบื้องหลังความสำเร็จจริง คือ “โคตรพยายาม และ โคตรอดทน ” ไม่ใช่แค่ ความมั่นใจ
แต่ที่สำคัญในอดีต เราทุกเจน ก็ล้วนเคยโดน “ผู้ใหญ่ตอนนั้น” ตีตราแบบ เหมา เช่นกัน
- GEN baby boomer : ภักดีต่อองค์กร อดทนมากๆ แต่ก็หัวแข็ง ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และยึดติดกับลำดับชั้นขั้นตอนเดิมๆ ไม่ยืดหยุ่น
- GEN X : มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ก็ชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบการฟีดแบกตรงๆ , ยึดติดว่าการทำงานต้องเหนื่อย = สำเร็จ
- GEN Y : เจนแห่งความยืดหยุ่น เป็นเจนที่เคยถูกตีตราว่ามั่นหน้ามาก เพราะความกล้ารู้ กล้าลอง เป็นตัวของตัวเอง กล้าเปลี่ยนงานเพื่อหางานที่ใช่มากกว่ารุ่นก่อนๆ จนเคยถูกกล่าวหาว่า เป็นเจนไม่อดทน เพราะเปลี่ยนงานบ่อยมาก
ดังนั้น ทุก GEN ก็มีข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น และดูดีๆ Generation มันเป็นเพียงการจัดกลุ่มตามอายุของผู้คน เพราะ GEN Y วันนี้ (29 + ) ก็คือ GEN Z ในอดีต (13 - 28 ) เป็นช่วงแห่งวัยรุ่น ที่ยังอยากรู้อยากลองและยังต้องการเวลาในการเติบโต พัฒนาตัวเอง อาจจะทำผิดไปหน่อย (ซึ่งตอนนี้สังคมกำลังลงโทษพวกเขาอยู่ เจนนี้เลยหางานยากขึ้น) ดังนั้น เด็ก GEN Z อาจต้องเริ่มจากการเปิดใจ ยอมรับฟัง ความเห็นปัจจุบัน และค่อยๆปรับตัว ปรับทัศนคติ ตัวเอง เพิ่มทักษะและความสามารถ เพื่อเอาตัวรอดในสังคมต่อไปให้ได้ ไม่เช่นนั้น สิ่งที่งานวิจัยเหล่านี้ตีพิมพ์ จะไม่ใช่แค่ การแบ่งช่วงวัย แต่จะกลายเป็น ลักษณะของเจน Z ตามที่ถูกกล่าวหาไปในทันที
Soft Skills ที่เด็กจบใหม่ควรต้องมี
ความสามารถด้าน เทคโนโลยี แต่ละแพลตฟอร์มโซเชียล ที่ทุกคนใช้ เราควรทำได้ดี โดยเฉพาะตรงสายที่สมัครยิ่งดี เพราะนายจ้างอาจเป็นเจน X หรือ Y ที่ต้องการ คนรุ่นใหม่ ที่มีทักษะที่อาจจะเก่งกว่าพวกเขา เข้าไปช่วยงาน และเขามองว่า เด็กรุ่นใหม่ ควรต้องเก่งเรื่องเหล่านี้มากกว่าพวกเขา ดังนั้น ถ้าเรากลับสวนทางทำไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ ไม่ถูกพิจารณาไปอย่างน่าเสียดาย
Growth mindset ทัศนคติที่พร้อมเติบโต ง่ายๆคือ เมื่อเจอปัญหา คุณพร้อมแก้ไขปัญหา ด้วยตัวเองไหม หรือ จะเลือกแก้ตัว? ถ้ายังเป็นคนที่คิดแบบหลัง แนะนำว่าไปฟัง podcast เกี่ยวกับ คำนี้เยอะๆ จะทำให้คุณเป็นคนที่อดทน พร้อมเติบโต และ ปรับตัวได้ดีไม่ว่าจะเจอแรงกดดัน หรือ สภาพแวดล้อมใหม่ๆเป็นยังไง เพราะทำงานทุกที่ล้วนมีปัญหา
การสื่อสาร ไม่ว่าจะเทำงานก่งแค่ไหน ถ้าสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่ก้าวหน้า ทักษะการจับใจความและเรียบเรียงคำก็สำคัญ หมั่นฝึกการสื่อสารกับมนุษย์ให้มากกว่าคอมฯ วิธีการง่ายสุด อาจต้องเริ่มจาก การออกไปเจอเพื่อนบ่อยๆ ฝึกพูดคุยกับผู้ใหญ่ใกล้ตัว สังเกตสีหน้า แววตา และท่าทางคนอื่นๆ ว่าเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไร จะช่วยให้เราเรียนรู้ การเข้าสังคมมากขึ้น
การทำงานร่วมกับคนอื่น ถ้าไม่ใช่งานที่ทำคนเดียวได้จบ เจ้านายก็คาดหวังให้เราสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี เป็นฟันเฟืองส่วนหนึ่งที่สำคัญของทีม ซึ่งทักษะนี้ มันจะแสดงออกตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ เช่น อาการยิ้มกว้าง มั่นใจ พูดฉะฉาน รู้กาละเทศะ ซึ่งก็อาจกลายเป็นแต้มต่อ ที่หลายบริษัทต้องการตัวคุณ
อ่อนน้อม แต่กล้าแสดงออก แม้เด็กรุ่นใหม่จะมีความมั่นใจในตัวเอง แต่สิ่งที่ตกม้าตายก็คือ การอ่อนน้อมถ่อมตนในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ไม่ควรทำคือ การชมตัวเอง จริงๆหากจะชมอาจจะต้องฝึก พูดยังไงให้ดูไม่น่าหมั่นไส้ เนียนๆบอกข้อดีตัวเองไป รู้ว่า เวลาไหนควรพูด หรือ เวลาไหนควรเงียบ สิ่งเหล่านี้ หนังสือและ podcast มีบอกเพี้ยบ อาจดูไม่สำคัญ แต่จริงๆมันเป็นทักษะที่สำคัญมากๆเลย
ความต่างของเจนจะมีเสมอ แต่ไม่ใช่ปัญหา
อีก 10 ปี ผู้เขียนเชื่อว่า GEN Alpha ก็จะมาทำให้คน GEN Z ปวดหัวใหม่ได้เช่นกัน ด้วยไลฟ์สไตล์และความคิดที่ไม่เหมือนเจนรุ่นก่อนๆ แต่อย่างที่บอกว่า ถ้าเราเลือกที่จะมองความต่างของเจน เพื่อทำความเข้าใจ และ ค่อย ๆ หาจุดดีของแต่ละเจนให้เจอ เราก็จะผ่านมันไปได้
เหมือนที่ปัจจุบัน GEN Y วัยผู้ใหญ่ ก็ได้พิสูจน์ ให้เจนก่อนหน้ารู้แล้วว่า ถึงเราจะมีวิธีคิดและเลือกไม่เหมือนรุ่นพ่อแม่ แต่มันไม่ได้แปลว่า เราผิด หรือจะไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพียงความต่างตามประสบการณ์การถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาของคนแต่ละวัย ไม่ได้สะท้อน ความสามารถที่แท้จริง
ดังนั้น การทำงานร่วมกันที่ดีในแต่ละองค์กร ควรต้องมองหา “จุดแข็งของคนแต่ละเจน” มาช่วยเสริมทักษะในองค์กร ไม่ใช่หาเพื่อมาต่อว่า หรือ เอามาเปรียบเทียบ ก็จะช่วยให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้ ด้วยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์สดใหม่ ที่สำคัญกลายเป็นองค์กรที่พร้อมเปิดรับ GEN ใหม่ในอนาคตต่อไปได้ อย่างไม่มีปัญหา Generation Gap มากวนใจองค์กรฉันอีกต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
