รีเซต

ใช้จ่ายการศึกษาพุ่งสูงสุด เทอมเดียวสะพัด 6.2 หมื่นล้าน สวนทางเด็กเกิดใหม่น้อยลง

ใช้จ่ายการศึกษาพุ่งสูงสุด เทอมเดียวสะพัด 6.2 หมื่นล้าน สวนทางเด็กเกิดใหม่น้อยลง
TNN ช่อง16
20 พฤษภาคม 2568 ( 08:00 )
14

เกิดเป็นพ่อแม่คนยุคนี้ต้องจ่ายเงินหนักแค่ไหน ?

 

จะเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน เลี้ยงเด็กสักหนึ่งคน ให้โตจนดูแลตัวเองได้ ต้องลงทุนเท่าไหร่ ? 

โดยเฉพาะการใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ดูเหมือนว่าจะมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี 

เช่น ล่าสุดปีนี้ กับรายงานสำรวจว่าจะมีเงินสะพัดกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท

พ่อแม่ต้องจ่ายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าสองหมื่นหกพันกว่าบาทต่อเด็กหนึ่งคน

 

"พ่อ-แม่ ผู้ปกครองชาวไทย" ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการศึกษาของลูก 

แม้ทิศทางของเศรษฐกิจอาจจะไม่สดใสมากนัก

ข้อมูลจาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย

เปิดเผย "ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายและผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม ปีการศึกษา 2568" 

จำนวน 1,250 ตัวอย่าง ระหว่าง 1-6 พฤษภาคม 2568 พบว่า

จะมีเงินสะพัดหรือมูลค่าการใช้จ่ายรวม 62,615 ล้านบาท 

เติบโตกว่าปีก่อน 3.80% ซึ่งเป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายที่มีมูลค่าสูงสุดตั้งแต่ทำการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2553 

โดยผู้ปกครองหรือพ่อแม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยโดยรวมต่อเทอมหรือปีการศึกษาที่ 26,039 บาท 

หากเรียนในโรงเรียนรัฐบาลอยู่ที่ 15,771 บาท  หากเป็นภาคพิเศษ อยู่ที่ 41,723 บาท 

ส่วนโรงเรียนเอกชน ภาคปกติ 35,627 บาท ภาค 2 ภาษา 59,157 บาท


นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย 

ระบุว่ายอดการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปีนี้ ถือว่ามี "ยอดใช้จ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์" 

ส่วนหนึ่งอาจตีความได้ว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาปรับตัวสูงขึ้น 

หรือหมายความว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาของบุตรหลานมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีการผลสำรวจดังกล่าว ไม่พบว่าผู้ปกครองลดหรือประหยัดการใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลาน 

ส่วนใหญ่ตอบว่าค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน

 และผู้ปกครองไม่ได้ขาดแคลนเงินมากนัก ภาพรวมการใช้จ่ายด้านการศึกษาถือว่ายังไม่ได้หยุดชะงัก


ที่น่าสนใจ และต้องจับตา คือ ทุกครั้งที่มีการเปิดเทอม

เราจะได้เห็นข่าวว่าพ่อแม่หลายบ้านมีเงินไม่พอใช้จ่าย

หลายคนต้องพึ่งพาโรงรับจำนำ และกู้ยืมเงินมาหมุนเพื่อลูก

ข้อมูลจากสำรวจล่าสุดครั้งนี้ พบว่าเงินสะพัดยังหมายถึง "การหมุนเงิน" ของคนเป็นพ่อเป็นแม่

และไม่ใช่ทุกคนที่มีเงินพร้อมจ่าย  ? 


โดยนางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ฯ ระบุว่า

ผู้ตอบแบบสอบถามโดยส่วนใหญ่ คือ 95% 

ระบุว่าต้องเตรียมจ่ายค่าบำรุงโรงเรียน (แป๊ะเจี๊ยะกรณีย้ายโรงเรียน) เพิ่มขึ้น 

หรือเฉลี่ยใช้เงิน 8,786 บาท 

รวมถึงค่าชุดนักเรียน-รองเท้าก็จ่ายสูงขึ้น


ทั้งนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่เกือบ 67% ระบุว่า มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายของบุตรหลายในช่วงเปิดเทอม 

แต่ก็มีอีกถึงประมาณ 33% ที่ระบุแล้วว่า มีเงินไม่เพียงพอ 

โดยแนวทางการแก้ปัญหาอันดับแรก คือ เอาทรัพย์สินมีค่าไปจำนำมากที่สุด 

ตามด้วยการกู้เงินในระบบ และการขอผ่อนชำระค่าเทอมเป็นงวด

การเบิกเงินสดจากบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด, ยืมญาติพี่น้อง, หารายได้เสริม, 

กู้เงินนอกระบบ และทางเลือกสุดท้ายที่แย่ที่สุด คือ ต้องให้บุตรหลานพักการเรียนไว้ก่อน


นอกจากนี้ยังถามถึงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันว่า

ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตรหลานหรือไม่

ปรากฎว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ 56.6% ตอบว่าส่งผลกระทบมาก

          

นอกจากนี้ยังมีประเด็นถามเรื่องสำหรับความสำคัญของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 

ทั้งในระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษานั้น 

พบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ 50.1% ตอบว่า มีความสำคัญมาก

เพราะมองว่า กยศ. ช่วยลดภาระผู้ปกครองได้

          

ทั้งนี้บรรดาผู้ปกครองยังมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษาของไทยในปัจจุบัน

โดยขอให้ปรับปรุงระบบการประเมินผลนักเรียนที่วัดผลในหลายมิติ 

พร้อมลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา 

ให้แต่ละโรงเรียนมีคุณภาพการเรียนการสอนที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน 

สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้ขาดแคลนทุน 

พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมระดับสากล 

ปรับการเรียนการสอนให้ดึงดูดความสนใจของนักเรียน และเพิ่มบุคลากรทางการศึกษา 


มีข้อมูลจากสภาพัฒน์ระบุว่าการเลี้ยงเด็ก 1 คน ต้องใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 3 ล้าน

และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้  

คนไทยยุคนี้หลายคนเลือกที่จะ ‘ไม่มีลูก’ 

ทำให้ตอนนี้ตัวเลขเด็กเกิดใหม่หดอย่างหนัก

ผู้สูงอายุกำลังจะล้นเมือง

และจะไปกระทบกับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างแน่นอน 



ประเทศไทยไม่ต่างจากอีกหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเจอกับวิกฤตสังคมผู้สูงวัย

ล่าสุดปัจจุบันนี้ คนไทยมีอัตราคนเกิดน้อยกว่าคนตายติดต่อกัน 4 ปีแล้ว

และอยู่ในทิศทางนี้อย่างต่อเนื่อง 

แม้กระทั่งอัตราการเกิดล่าสุดปีที่ผ่านมาก็ยังต่ำสุดในรอบ 75 ปี

อ้างอิงข้อมูลจาก ‘สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล’ 

ที่เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา 2567 มีประชากรไทยเกิดใหม่แค่ 460,000 คน 

เรียกได้ว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 


และประเทศไทย คือ ประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่ประชากรกำลังลดลง

เพราะส่วนใหญ่ประเทศที่ประชากรกำลังลดลงนั้นมักจะเป็น ‘ประเทศพัฒนาแล้ว’ 

เช่น จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ไทยจึงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรหดตัว

มีการคาดการณ์ว่าเฉลี่ยทุก 2 ปี ประชากรไทยจะลดลง 1 ล้านคน

และในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงจาก 66 ล้านเป็น 41 ล้านคน

นั่นหมายถึงคนที่มีงานทำในประเทศจะหายไปถึง 15 ล้านคนด้วย

 

ผลสำรวจของ ‘สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล’ 

สำรวจคนไทยกว่า 1,042 คน พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ หรือ 71%  

มองว่า สถานการณ์ประชากรเกิดน้อยเป็นวิกฤติ

คนไทยที่มีคู่แล้วเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่บอกว่า “จะมีลูกแน่นอน” 

นอกนั้นยังไม่แน่ใจทั้ง “อาจจะมีลูก” หรือ “ไม่มีลูก”


ที่สำคัญ คือ คน Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังและโอกาสที่จะมีลูกมากที่สุดในตอนนี้ 

กลับเป็นคนส่วนใหญ่ที่เฉยๆ หรือไม่เห็นด้วยกับการมีลูก


และแน่นอนว่าหนึ่งปัจจัยแรกที่ทำให้คนไทยหลายๆ คน

ตัดสินใจมีลูกน้อยหรือไม่มีลูก คือ ภาระค่าใช้จ่าย 

ซึ่งข้อมูลจากสภาพัฒน์บอกว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูเด็ก 1 คน 

ตั้งแต่อายุ 0-21 ปี คือ 3 ล้านบาท


เด็กที่เกิดในครัวเรือนที่ฐานะดีที่สุด 

พ่อแม่จะใช้จ่ายกับเด็กมากกว่าเด็กที่เกิดในครัวเรือนฐานะด้อยสุดถึง 7 เท่า 

แต่หนักที่สุด คือ ‘ด้านการศึกษา’ ที่ค่าใช้จ่ายต่างกันมากถึง 35 เท่า 

ซึ่งส่งผลถึงโอกาสของเด็กไปด้วย

โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ยากจนที่สุด

ได้เข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายเพียงแค่ 46% 

และระดับปริญญาตรีที่ 6% เท่านั้น


รศ. ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล 

บอกว่า ในหมู่เด็กที่เกิดมายังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำของการเลี้ยงดู 

ไม่ว่าจะเป็นจากกรณียากจน กรณีท้องไม่พร้อม 

หรือกรณีไม่ได้วางแผนการเลี้ยงดู ทำให้ถ้าเข้าไปสำรวจในโซเชียลมีเดียต่างๆ 

จะเห็นว่าสังคมเองก็ตั้งคำถามว่านอกจากจำนวนการเกิดแล้ว ‘คุณภาพการเกิด’ 

ก็มีความสำคัญหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันดูแล


ทั้งนี้ข้อเสนอของ ‘สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล’ คือ 

อยากให้หันมามองกลุ่มประชากรที่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ คือ ผู้สูงวัย และ ผู้หญิง

อนาคตเมื่อมีเด็กเกิดน้อยลง เราจึงสามารถสนับสนุนให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในกำลังแรงงานมากขึ้นได้

พร้อมต้องปรับนิยามของคำว่า ‘สูงวัย’ ให้ขยับขึ้นจากวัย 60 ปี 

เพราะเฉลี่ยแล้วคนไทยมีอายุยืนยาวกว่า 60 ปีมากๆ 

โดยหลัง 60 ปีไปแล้ว ผู้ชายไทยจะมีอายุอยู่อีกเฉลี่ย 17.5 ปีและผู้หญิงไทยจะมีอายุอยู่อีกเฉลี่ย 23.2 ปี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง