ย้อนดูมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนไทย จากอภิสิทธิ์ถึงอนุทิน หนี้พุ่งแตะ 16.2 ล้านล้านบาท

ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูงต่อเนื่องมากว่าทศวรรษ ล่าสุดปี 2568 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนแตะ 16.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.8% ต่อ GDP เพิ่มขึ้นกว่า 22% ภายในปีเดียว ถือเป็นหนึ่งในระดับสูงสุดในเอเชีย และเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกยุครัฐบาลต้องเร่งคลี่คลายเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2551–2554) จุดเริ่มต้นของการพักหนี้ชุมชน
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก รัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มใช้มาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร และขยายสินเชื่อผ่านกองทุนหมู่บ้าน รวมถึงโครงการสินเชื่อชุมชนเพื่อฟื้นฟูรายได้ในชนบท ช่วงนี้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ราว 59–63% ถือเป็นระดับฐานก่อนปัญหาจะขยายตัวในทศวรรษต่อมา
ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2554–2557) นโยบายขยายตัว–หนี้เร่งตัว
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินมาตรการพักหนี้ต่อเนื่อง จัดตั้งกองทุนปรับโครงสร้างหนี้สินชุมชน รวมทั้งโครงการบ้านประชารัฐและกองทุนหมู่บ้านรอบใหม่ ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากราว 66% ในปี 2554 สู่ 82% ในปี 2557
ยุคประยุทธ์ จันทร์โอชา (2557–2566) คลินิกแก้หนี้และภาวะโควิดพุ่ง
รัฐบาลประยุทธ์สร้างเครื่องมือแก้หนี้ถาวรอย่าง “คลินิกแก้หนี้” เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ค้างชำระบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยมีการปรับโครงสร้างหนี้และลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 3–5% ต่อปี
ช่วงโควิด-19 รัฐบาลยังออกมาตรการพักหนี้ ยืดชำระ และลดดอกเบี้ยครอบคลุมหลายกลุ่ม ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนต่อ GDP พุ่งถึง 90.9% ในปี 2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ของไทย
ยุคเศรษฐา–แพทองธาร (2566–2568) จุดเปลี่ยนสู่โครงการ “คุณสู้ เราช่วย”
หลังโควิด-19 รัฐบาลเศรษฐาเริ่มปรับแนวทางแก้หนี้จากเชิงป้องกันสู่เชิงฟื้นฟู เปิดตัวโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยพักดอกเบี้ย 3 ปี ลดภาระผ่อนบ้าน รถยนต์ และ SME พร้อมเปิดช่องนำหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบ ผ่านการเจรจาไกล่เกลี่ยและประนอมหนี้
ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลยังลดเบี้ยปรับของ กองทุน กยศ. เหลือ 0.5% ยืดเวลาผ่อนสูงสุด 15 ปี และยกเลิกผู้ค้ำประกัน ถือเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยคนรุ่นใหม่โดยตรง
ยุคอนุทิน ชาญวีรกูล (ก.ย. 2568–ปัจจุบัน) สานต่อ–ขยายผลสู่รีโฟร์มหนี้
เมื่อรัฐบาลอนุทินเข้าบริหารประเทศ ได้สานต่อและขยายผลโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ให้เข้าถึงผู้กู้กลุ่ม Non-bank มากขึ้น พร้อมขยายเวลารับสมัครและเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่ในระดับรายย่อย
นโยบายสำคัญคือแผน “รีโฟร์มหนี้ระดับประเทศ” ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 1.9 ล้านบัญชี โดยเน้นการเจรจา ประนอมหนี้ และพัฒนาเครื่องมือช่วยสร้างวินัยทางการเงิน เช่น โปรแกรมปรับพฤติกรรมผู้กู้และการประเมินศักยภาพหนี้ต่อรายได้
แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2568 จะเริ่มทรงตัว แต่คุณภาพหนี้ในบางพอร์ต เช่น ที่อยู่อาศัยและบัตรเครดิต ยังมีความเปราะบางจากภาวะดอกเบี้ยสูง ขณะที่หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงถึง 740,000 บาท ทำให้กำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นเต็มที่
ผู้เชี่ยวชาญมองว่ามาตรการแก้หนี้ไทยได้พัฒนาอย่างเป็นระบบมากขึ้นจาก “พักหนี้” สู่ “ปรับโครงสร้าง” และ “รีโฟร์มเชิงพฤติกรรม” แต่โจทย์ที่ยังไม่คลี่คลายคือการเพิ่มรายได้ของครัวเรือนไทยให้เติบโตทันกับภาระหนี้ รวมถึงการเสริมกลไกเตือนภัยทางการเงินระดับบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้ใหม่เกิดซ้ำ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
